มีใครกล้าปฏิเสธหรือไม่ว่า นักการเมืองไทยทุกคน (รวมถึงนักการเมืองทั่วโลก) มีเป้าหมายหลักอยู่ที่ชนะการเลือกตั้ง (ยกเว้นนักการเมืองบางจำพวกที่อยากดัง อยากเป็นข่าว อยากให้คนพูดถึง จึงลงแข่งขันทั้งๆ ที่รู้ดีว่าไม่มีโอกาสชนะ ไม่ว่าจะลงแข่งขันกี่สิบครั้งก็ตาม) โดยเฉพาะการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และถ้ามีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาด้วย นักการเมืองก็ต้องการชัยชนะเช่นกัน
ไม่ใช่เรื่องผิดกับการหวังจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ชนะด้วยความขาวสะอาดหรือชนะด้วยความโสโครก แต่จะอย่างไรก็ตาม ก็มีนักการเมืองจำนวนไม่น้อยที่ไม่สนใจกรรมวิธี (means) เพราะคนพรรค์อย่างนั้นคิดถึงเพียงเป้าหมาย (goals) ต่อให้กรรมวิธีโสโครก หยาบช้าสักเพียงใด คนพรรค์อย่างว่าก็ไม่นำพา และไม่เคยให้ความสนใจแม้แต่น้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ การเลือกตั้งทุกครั้งและทุกชนิดในบ้านเมืองของเราจึงต้องทุ่มเงินจำนวนมหาศาล รวมถึงใช้อิทธิพลในทุกด้าน ไม่ว่าจะด้านบวกหรือลบ เพื่อให้ได้ชัยชนะจากการแข่งขัน
มีคำถามว่าผู้ลงแข่งขันทางการเมือง (เกือบทุกคน) นำเงินจากที่ไหนมาใช้หว่าน หรือทุ่มในการแข่งขัน คำถามนี้ยังมีผู้รอคำตอบชัดๆ จากปากคำของนักการเมืองทุกคน แม้นักการเมืองเกือบทุกคนจะอ้างว่าไม่ได้ใช้เงินในการแข่งขันเลยแม้แต่น้อย แต่ประเด็นสำคัญคือจะมีคนเชื่อคำอ้างดังกล่าวสักกี่คน
จากข้อมูลล่าสุดที่เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนหลายแขนงที่ระบุตรงกันว่า การเลือกตั้ง สส. ครั้งล่าสุดของไทยเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ที่ทำให้คนไทยและต่างชาติเห็นมาแล้วว่ามีพรรคการเมืองเกิดขึ้นมากมายมหาศาลสักเพียงใด แต่ปัจจุบันหลายพรรคก็ต้องปิดตัวลงไปแล้ว และอาจจะมีอีกหลายพรรคที่ต้องปิดตัวตามกันไป ส่วนจะปิดตัวเพราะปัจจัยสำคัญอะไรก็ต้องตามดูคำพูดจากแต่ละพรรค
มีการระบุว่าเม็ดเงินที่สะพัดในการเลือกตั้ง สส. เมืองไทยครั้งล่าสุดอยู่ที่ 5-8 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่รวมเงินนอกระบบอีกมหาศาลที่ไม่สามารถตรวจสอบได้
อย่างไรก็ตาม มีผู้มองโลกในแง่ดีว่า เม็ดเงินมหาศาลที่สะพัดนั้นจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น บางก็อ้างว่า การเลือกตั้งทำให้นักลงทุนต่างชาติ และประชาคมโลกให้ความมั่นใจกับไทยมากขึ้น แต่คำถามคือเลือกตั้งแล้วเศรษฐกิจไทยดีขึ้นจริงหรือ นักลงทุนต่างชาติมั่นใจไทยมากขึ้นจริงหรือ แล้วหลังจากนั้นจะมีการถอนทุนโดยนักการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งกันอย่างหนักหนาสาหัสเพียงใด
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่าการประกาศวันเลือกตั้งที่ชัดเจนทำให้คนไทยเชื่อมั่นในการเมืองและเศรษฐกิจมากขึ้น โดยอ้างจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนมกราคม 2562 ว่าดัชนีปรับขึ้นในทุกรายการ ซึ่งนับเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน และในขณะเดียวกันก็พบว่าภาคของการจ้างของไทย มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น โดยเห็นว่าในช่วงก่อนการเลือกตั้ง สส. พรรคการเมืองจะต้องจ้างแรงงานเพื่อใช้สำหรับการรณรงค์หาเสียงเพิ่มขึ้น โดยต้องใช้แรงงานไม่ต่ำกว่า 150,000 คน คิดค่าจ้างโดยเฉลี่ยวันละ 300-500 บาทต่อคน ซึ่งทำให้มีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น แม้จะเป็นแค่เพียงระยะสั้นก็ตาม
หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งจะทำให้เงินสะพัดทั้งประเทศไม่ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท และส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.3-0.5 เปอร์เซ็นต์ และจะส่งผลให้ตัวเลขเศรษฐกิจไทยโดยรวมของไตรมาสแรกเติบโตประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ และอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยทั้งปีเติบโตที่ระดับเฉลี่ย 4.2 เปอร์เซ็นต์
แน่นอนว่าในช่วงฤดูการหาเสียง สังคมไทยพบว่าสินค้าบางชนิดขายดีขึ้นกว่าเดิม เช่น รถกระบะเล็กสำหรับขบวนแห่หาเสียง ป้ายหาเสียงชนิดต่างๆ เครื่องกระจายเสียง และเครื่องไฟฟ้า นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าธุรกิจเสื้อผ้าก็ขยายตัวขึ้นบ้าง เพราะแต่ละพรรคการเมืองต้องสั่งตัดเสื้อผ้าที่เหมือนๆ กันให้กับสมาชิกและผู้คนที่สังกัดพรรค และพบด้วยว่าธุรกิจรถจักรยานยนต์ น้ำมันเชื้อเพลิง ร้านขายอาหารทั้งน้อยและใหญ่มีรายได้มากขึ้น แล้วก็พบว่าธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับการจัดเวทีหาเสียง
รถแห่หาเสียง และการจัดงานเลี้ยงระดมทุนเพื่อหาเงินเข้าพรรค ก็ได้รับผลดีตามมาเช่นกัน และที่มองข้ามไปไม่ได้ก็คือ ธุรกิจด้านสื่อสารออนไลน์ และ social media สารพัดชนิดก็ได้รับผลดีตามมาเช่นกัน เพราะนักการเมืองใช้ช่องทางสื่อสารด้านนี้มากขึ้น ส่วนประชาชนจำนวนไม่น้อยก็ติดตามข้อมูลข่าวสารทั้งข่าวจริงและข่าวหลอกผ่านทาง social media
แต่สิ่งที่ต้องคิดตามมาคือ เมื่อมีเม็ดเงินสะพัดในช่วงก่อนเลือกตั้งจริง แล้วหลังเลือกตั้งจะเกิดปัญหาอะไรเกิดขึ้นตามมา ซึ่งคำตอบนี้ก็เห็นได้ชัดอยู่พอประมาณในขณะนี้ เพราะหลายคนบ่น (ประณาม) ตรงกันว่า เศรษฐกิจไทยโดยรวมเลวร้ายมาก นั่นแสดงให้เห็นชัดแล้วใช่ไหมว่า หลังการเลือกตั้งแล้ว เศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ได้ดีขึ้น ส่วนเศรษฐกิจเลวลงเพราะผลของการเลือกตั้งหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถสรุปได้เช่นนั้น แต่คำตอบที่ได้ตรงกันคือเศรษฐกิจของประเทศไม่ดีขึ้น
ก่อนเลือกตั้ง หลายคนหวังว่าจะมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมั่นคง แล้วจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และกับนานาชาติได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะเมื่อมีรัฐบาลใหม่แล้ว การเบิกจ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินจะเดินหน้าต่อไปได้ และจะคล่องตัวกว่าเดิม รวมถึงคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม
มีอีกกิจการหนึ่งที่น่าจะได้รับผลดีจากการเลือกตั้ง สส. ครั้งล่าสุด คือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพิมพ์กระดาษสำหรับบัตรลงคะแนน เพราะมีบัตรลงคะแนนหลายชนิดมากกว่าเดิม เนื่องจากแต่ละเขต แต่ละจังหวัด ใช้บัตรลงคะแนนไม่เหมือนกันเลย
ก็ต้องขอถามตรงๆ ว่า ความหวังก่อนเลือกตั้ง กับความเป็นจริงหลังเลือกตั้ง ตรงกันกี่เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆ ที่คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าการเลือกตั้งจะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น แล้วผลลัพธ์ในขณะนี้เป็นเช่นไร หลายคนต้องตอบได้ดี เพราะประจักษ์อยู่แก่ใจเป็นอย่างดี
บางฝ่ายชอบอ้างว่าการเลือกตั้งทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยเพิ่มขึ้น แค่คำถามก็คือเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืนหรือ หรือว่าการเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยมิได้เกี่ยวข้องกับมูลค่าตัวเลขเศรษฐกิจจากการผลิตในภาค real sectors แต่เพิ่มขึ้นและลดลงเพราะกระแสการเมือง
สำหรับผู้ที่มองสถานการณ์ของไทยด้วยความเข้าใจจริงต่างตรงกันว่า การเลือกตั้งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น และไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างแท้จริง แต่ก็ต้องขอบคุณที่มีการเลือกตั้ง เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นมาบ้าง แม้จะเป็นระยะสั้นก็ตาม
มีคนจำนวนไม่น้อยระบุไม่ต่างกันคือ หลังจากผ่านการเลือกตั้งสัก 1-2 เดือน สถานการณ์เศรษฐกิจไทยจะกลับไปเป็นเช่นเดิม คือแย่เช่นเดิม เพราะการเลือกตั้งไม่สามารถสร้างรายได้จาก real sectors ขึ้นมาได้ แต่มันก็ดูไม่ต่างไปจากตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แต่ขอยืนยันว่าไม่ได้ต่อต้านหรือขัดขวางการเลือกตั้ง แต่ที่กล่าวเช่นนี้เพราะไม่เคยเชื่อมั่นการเลือกตั้งในประเทศไทย
คนไทยทุกคนต้องการเห็นเศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตอยากเห็นประเทศเจริญรุ่งเรือง อยากเห็นประชาชนส่วนใหญ่หรือทุกคนมีกินมีใช้ ไม่ต้องอดอยาก ไม่ต้องมีหนี้มีสินรุงรัง คนไทยอยากเห็นประเทศไทยเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนถาวร มิได้ต้องการเห็นเงินสะพัดในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง เพราะเห็นมาแล้วว่า เงินที่สะพัดในช่วงการเลือกตั้งเป็นแค่เพียงเหตุการณ์ระยะสั้นๆ ที่ไม่ยืนยง ไม่ถาวร
แน่นอนว่าคนไทยทุกคนต้องการได้รัฐบาลที่มีความสามารถพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน แต่ก็คงจะยังมีคนไทยอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องการรับเงินจากการซื้อขายเสียง แต่แม้จะมีผู้ต้องการรับเงินจากการซื้อขายเสียง แต่ถึงกระนั้นคนไทยทุกคนก็ต้องการและอยากได้รัฐบาลที่มีศักยภาพ ทำงานบริหารประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องการให้รัฐบาลนำพาประเทศไปสู่ความเจริญอย่างยั่งยืน แก้ไขปัญหาอุปสรรคของประเทศได้ คนไทยต้องการรัฐบาลที่มีนโยบายทำให้เศรษฐกิจไทยดี ไม่ต้องการรัฐบาลที่ดีแต่หว่านและแจกเงินเพื่อซื้อคะแนนนิยมจากประชาชนไปเรื่อยๆ คนไทยต้องการรัฐบาลที่มีความสามารถทำให้เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพในระยะยาว ดูแลแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นรูปธรรม คนไทยต้องการรัฐบาลที่สร้างความมั่นใจให้ประชาชนทุกคนว่ารัฐบาลมีความซื่อสัตย์ มีธรรมาภิบาล และยึดมั่นในหลักนิติรัฐ นิติธรรม คนไทยไม่ต้องการรัฐบาลที่ดีแต่สร้างภาพ และป่าวประกาศราวกับคนเสียสติตลอดเวลาว่า ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ อย่าตั้งคำถามกับรัฐบาล และต้องเชื่อมั่นในรัฐบาล เพราะรัฐบาลทุ่มเททำงานเพื่อบ้านเมือง หรือรัฐบาลนี้ยอมเสียสละความสุขเพื่อประเทศชาติประชาชน
บอกตรงๆ ว่า คำโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาล หลอกคนไทยได้ไม่ตลอดไป แม้คำโฆษณาชวนเชื่อนั้นจะสามารถหลอกรัฐบาลได้ตลอดเวลาก็ตาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี