ผ่านไปสัปดาห์เดียว มาตรการ “ชิมช้อปใช้” ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
นอกจากจำนวนคนต้องการลงทะเบียนล้นทะลัก 10 ล้านคนแล้ว ยอดจับจ่ายใช้สอยใน 10 วันแรก ก็ทยอยเพิ่มขึ้นรวดเร็ว ทำให้เงินเข้าไปหมุนเวียนในระบบการค้าขายกว่า 3 พันล้านบาท เข้าไปแล้ว
เกินครึ่งหนึ่งของยอดนี้ เป็นการซื้อของในร้านวิสาหกิจชุมนุม ธงฟ้าร้านค้าประชารัฐในท้องถิ่น
คาดว่า ยังเหลือผู้เข้าโครงการอีกกว่า 8 ล้านคน เงินในกระเป๋าขั้นต่ำ 8,000 ล้านบาท เสมือนมวลน้ำก้อนใหญ่ จ่อออกไปจับจ่ายใช้สอยผ่านมาตรการนี้ ผ่านร้านค้าที่เข้าร่วมกว่า 170,000 ราย
1. ความนิยมในมาตรการนี้ ทำให้นึกถึงโครงการดีๆ อีกโครงการหนึ่ง
นั่นคือ กองทุนการออมแห่งชาติ
ไม่ใช่โครงการที่ให้เงินคนออกบริโภค แต่เป็นกลไกสร้างการออมของคนในชาติ โดยเฉพาะช่วยเกื้อหนุนชาวบ้านที่ไม่ได้ทำงานประจำ ไม่ใช่ข้าราชการ ให้สามารถออมเงินเป็นบำเหน็จบำนาญส่วนตัวได้
น่าเสียดายที่โครงการแบบนี้ ไม่ได้รับการตอบรับจากประชาชนมากเท่าที่ควร
2. แม้ในแฟนเพจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “อุตตม สาวนายน” จะนำเสนอข้อมูลโครงการ “กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)” ไว้อย่างน่าสนใจ ควบคู่กับ “ชิมช้อปใช้” แต่จำนวนคนที่เข้าร่วมโครงการ กอช. ก็ยังเทียบไม่ได้กับคนที่เข้าร่วมโครงการ“ชิมช้อปใช้”
“ออมเงินผ่าน กอช. ไม่ต้องเป็นข้าราชการก็มีบำนาญได้
หลายท่านคงได้ยินข่าวว่า รัฐบาลได้ริเริ่มโครงการออมเงินเพื่อเป็นหลักประกันบำนาญให้กับประชาชนที่ไม่อยู่ในระบบสวัสดิการแรงงานซึ่งดำเนินการโดยกองทุนการออมแห่งชาติ(กอช.)
วัตถุประสงค์ของโครงการนี้ จัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนให้พี่น้องประชาชน ได้มีโอกาสออมเงินเก็บไว้ใช้หลังอายุ 60 ปี เรียกว่าเป็นเงินบำนาญหลังเกษียณเหมือนกับราชการ ซึ่งจะช่วยให้การใช้ชีวิตในวัยสูงอายุมีความสุขขึ้น
สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการ คือ กลุ่มประชาชนที่ไม่มีสวัสดิการแรงงาน อาทิ กลุ่มของพ่อค้าแม่ค้า เกษตรกร แม่บ้าน และกลุ่มอาชีพรับจ้างทั่วไป แรงงานนอกระบบ และผู้ที่ไม่ยังไม่รับความคุ้มครอง เช่น นักเรียน นักศึกษา เป็นต้น โดยกลุ่มคนเหล่านี้สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้โดยสมัครใจ และเริ่มต้นออมได้ตั้งแต่ 50 – 13,200ต่อปี และไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะต้องจ่ายเงินออมในทุกเดือน โดยหากเดือนไหนมีน้อย ก็จ่ายน้อย เดือนไหนมีมากสามารถจ่ายมากได้ โดยรัฐจะจ่ายสมทบให้อีกส่วนหนึ่งในทุกวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
โดยแบ่งช่วงอายุดังนี้
ช่วงอายุ 15-30 ปี รัฐจะจ่ายสมทบให้ 50% ของเงินออมแต่ละครั้งโดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 600 บาท
ช่วงอายุ 30-50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 960 บาท
ช่วงอายุ 50-60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 1,200 บาท
ซึ่งเมื่อออมเงินจนถึงอายุ 60 ปีบริบูรณ์ ก็จะได้เงินกลับคืนมาเป็นเงินบำนาญ สูงสุดถึง 7,200 บาท/เดือน
พี่น้องประชาชนที่สนใจสามารถสมัครสมาชิกและส่งเงินออมสะสม โดยใช้เพียงบัตรประจำตัวประชาชน ผ่านทางหน่วยรับสมัครของ กอช. อาทิ ที่ว่าการอำเภอ 878 แห่งทั่วประเทศ สำนักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ ธนาคารรัฐทั้ง 4 แห่ง คือ ธ.ก.ส., ธอส., ธ.ออมสิน และ ธ.กรุงไทย ทุกสาขาหรือผ่านสถาบันการเงินชุมชน และเครือข่าย กอช.ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ เมื่อเป็นสมาชิกของ กอช. และเริ่มออมเงินแล้ว พี่น้องประชาชนสามารถดูยอดสะสมเงินออม ได้ผ่านแอพพลิเคชั่น “กอช.”โดยกรอกข้อมูลชื่อบัญชีผู้ใช้ และรหัสผ่านเพื่อเข้าสู่ระบบ
นี่คืออีกหนึ่งโครงการของรัฐบาล โดยหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องการดูแลสร้างสวัสดิการที่ดีให้กับคนไทยทุกคน เพื่อให้คุณภาพชีวิตที่ดี และก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างมีคุณภาพ”
3. ปัจจุบัน ทราบว่า กอช. ได้เพิ่มช่องทางอำนวยความสะดวกให้แก่สมาชิก กอช. สามารถส่งเงินออมสะสมได้ที่จุดบริการ “ที่ว่าการอำเภอ”กว่า 878 แห่งทั่วประเทศ ได้แล้ว รวมถึงให้ผู้อื่นส่งเงินออมสะสมแทนก็ได้เพียงแจ้งเลขบัตรประจำตัวประชาชนของสมาชิกแก่เจ้าหน้าที่ แล้วส่งเงินออมสะสมตามต้องการตั้งแต่ 50-13,200 บาท/ปี
หรือกรณีสมาชิก กอช. ที่เข้าระบบส่งเงินออมสะสมผ่านแอพ กอช. สามารถนำรหัสการส่งเงินออมสะสมที่ได้รับจากแอพมาชำระได้ที่ว่าการอำเภอได้เช่นกัน
รวมไปถึงช่องทาง ธนาคาร ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสินทุกสาขา เทสโก้ โลตัสทุกสาขา ตู้บุญเติม จุดบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสกว่า 13,000 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งที่สำนักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ
แต่จนถึงขณะนี้ ยอดสมาชิก กอช.ก็ยังไม่เปรี้ยงปร้างเหมือน “ชิมช้อปใช้”
4. อยากฝากรัฐมนตรีคลัง ทีมงาน รวมไปถึงท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ช่วยกันหาวิธีการที่จะยุยงส่งเสริม กระตุ้นให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการ กอช. ให้มากกว่านี้โดยเร็วเถิด เพื่อรับมือสังคมสูงวัย
จะต้องนำเทคนิค “ประชานิยม” มาใช้กับโครงการ “กอช.”ก็ขอให้ทำเถิด งัดมาใช้ทุกเม็ดเลยเถิด
ลองคิดดู ถ้าใช้การสร้างแรงจูงใจให้คนออมเงิน แบบเดียวกับที่สร้างแรงจูงใจให้คน “ชิมช้อปใช้” เชื่อแน่ว่าจะต้องดึงดูดคนเข้ามาในโครงการกองทุนการออมแห่งชาติได้มากกว่านี้แน่นอน
คิดเล่นๆ ถ้ามีมาตรการจูงใจ ว่าใครสมัครเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ จะได้รับ “เงินขวัญถุง” หรือ “เงินออมก้นถุง” หรือ“ทุนออมประเดิม” จากรัฐบาลลุงตู่ สักรายละ 100,000 บาท คนจะสนใจเข้าโครงการมากขึ้นหรือไม่?
ต่อให้มีเงื่อนไขว่า เงินขวัญถุงนี้จะเบิกออกมาใช้ได้ก็ต่อเมื่อเข้าโครงการครบตามกำหนดเวลานานแค่ไหน แล้วออมเงินส่วนตัวสะสมเป็นระยะเวลากี่ปีกี่เดือนอย่างไรก็ตาม
หรือให้มี “หวย กอช.” ให้สมาชิกที่ออมเงินได้โอกาสลุ้นเงินล้านคล้ายๆ กับสลากออมทรัพย์อย่างไร
ถึงเวลาจะต้องหาทางทำ “ประชานิยม” ในโครงการส่งเสริมการออมแห่งชาติบ้างแล้ว
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี