วันที่ 4 ต.ค. นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ แถลงถึงจุดยืนการแบนสารเคมีวัตถุอันตรายทางการเกษตร 3 ชนิดพาราควอต ไกลโฟเซต คลอร์ไพริฟอส ว่า ตนจะตอบให้ชัดๆ อีกทีหลังจากที่ได้พูดชัดเจนไปแล้ว วันนี้ยืนยันได้เลยว่าไม่สนับสนุนการใช้สารพิษในการทำเกษตร ซึ่งตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันนี้ ได้คุยกันมาตลอด มีความเห็นตรงกันกับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และรองนายกฯ รมว.พาณิชย์ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ พร้อมใจแบนสาร 3 ตัวนี้ทันที
ดังนั้น ขอเรียกร้องให้ประธานคณะกรรมการวัตถุอันตราย และกรรมการ มีการประชุมเรื่องการแบนสารพิษโดยเร็วที่สุด พร้อมกับให้ลงมติโดยเปิดเผยต่อสาธารณชน จะได้รู้ว่าใครเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย มิเช่นนั้นไม่ว่ามติจะออกมาอย่างไรก็จะมาโทษคนของกระทรวงเกษตรฯ เป็นแพะรับบาปทุกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ตนจะไม่ยอมเป็นแพะอย่างมีการไปกล่าวหาลือกันว่ามีผลประโยชน์อีกต่อไปแล้ว
ท่าทีแข็งกร้าวแบบนี้ นายเฉลิมชัยเพิ่งมาแสดงออกในระยะหลัง เพราะเขากลายเป็น “ผู้ร้าย” ที่เขาตกเป็นข่าวว่าเพิกเฉยบ้างไม่แบนบ้าง และหนักสุดคือข้อกล่าวหาว่า “รับเงิน”
“ยืนยันผมกับท่านจุรินทร์ ไม่มีผลประโยชน์แม้แต่สลึงเดียว และผมไม่เคยกินน้ำแข็งใครมาเลี้ยงสักแก้วเดียว จึงขอความร่วมมือนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่กล่าวหาว่ามีบริษัทค้าสารเคมีต่างชาติรายใหญ่มายื่นผลประโยชน์ให้ แลกกับการไม่แบนสาร 3 ตัวนี้ ต้องนำข้อมูลมาเปิดเผยต่อสังคม ว่าไปพบใคร พบทีมงานของใคร เพราะผมได้สอบถามกันแล้วทั้งทีมงานของท่านจุรินทร์ และของผม ไม่มีใครมาพบ ซึ่งในวันที่ 23 ก.ย.ผมและทีมงาน เดินทางไปแก้ไขปัญหาอุทกภัย จ.อุบลราชธานี เร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมภาคอีสาน มีสื่อมวลชนตามไปด้วยก็เห็นว่าผมอยู่ที่นั่น ทั้งนี้ผมพร้อมที่ตั้งกรรมการตรวจสอบ ถ้ามีหลักฐานก็นำมาให้ผมได้ตลอดเวลา” นายเฉลิมชัย กล่าว
เขาบอกอีกว่า ได้พูดคุยกับตัวแทนกระทรวงเกษตรฯ ที่อยู่ในคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อให้เดินแนวทางของกระทรวงเกษตรฯ ที่มีนโยบายไม่เอา 3 สารนี้ ซึ่งตนยินดีมาก ขอเชิญนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ที่ทุกท่านพร้อมแบน 3 สาร ขอให้มาแถลงร่วมกันกับตนด้วย จะได้เป็นแนวทางเดียวกันทั้ง 3 กระทรวง ว่าพร้อมจะยกเลิกทันที
นอกจากนี้ ขอให้รมว.อุตสาหกรรม สั่งการประธานคณะกรรมการวัตถุอันตราย และเลขาฯ คณะกรรมการฯ เรียกประชุมโหวตยกเลิกมติครั้งก่อนที่ให้จำกัดการใช้ และการประชุมครั้งต่อไปจะต้องไม่เอา 3 สาร ให้การลงมติโหวตแบบเปิดเผย เพราะถ้ายังลงมติลับก็ไม่มีความชัดเจน ขอเรียกร้องให้เปิดไปเลย เพราะไม่ต้องการให้ใครยืนข้างหลังคอยสั่งการและจะได้แก้ข้อกล่าวในเรื่องคณะกรรมการฯ มีผลประโยชน์ ได้ด้วย
“ถ้าคณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติยกเลิก 3 สารแล้ว การหาสารทดแทนสามารถทำได้ ผมบอก น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรฯ ให้ไปเร่งดู มอบหมายเรื่องนี้ไปแล้ว รวมทั้งการชดเชยช่วยเกษตรกร ท่านนายกรัฐมนตรี มีบัญชามาแล้ว ให้ช่วยเรื่องเพิ่มรายได้เกษตรกรด้วย ทั้งนี้ ผมมีท่าทีชัดเจนแล้วว่าต้องแบน 3 สาร ในส่วนตัวแทนของกระทรวงในคณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งมีระดับปลัด อธิบดี ทุกคนมีวุฒิภาวะพิจารณา แต่ถ้ายังมีลงมติลับ สุดท้ายสังคมโยนมาบาปที่กระทรวงเกษตรฯ ดังนั้นการลงมติเปิดเผยให้สังคมรับรู้จะได้ไม่มีแพะในสังคม ถูกกล่าวหาเรื่องมีผลประโยชน์ สำหรับผม ผมเป็นลูกผู้ชาย ยืนยัน ไม่มีเด็ดขาด น้ำแข็งเปล่าสักแก้วไม่เคยกินจากใคร จึงออกมาพูดให้สังคมเข้าใจข้อเท็จจริง”นายเฉลิมชัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่านายสนธิ ท้าไปเจอที่ศาลจึงจะเปิดข้อมูลที่บริษัทเอกชนค้าสารเคมีรายใหญ่ ไปพบที่พรรคประชาธิปัตย์วันที่ 23 ก.ย. เวลา 15.00 น. รวมทั้งมีผลประโยชน์ 1.5 พันล้านบาท แลกกับการไม่แบนสาร 3 ตัว
“ใครที่กล่าวหาผม ถ้ามีข้อมูลมา! คุณเปิดมาเลย ว่าผมคุยที่ไหน อย่างไร หรือกับใครในพรรค ผมพร้อมดำเนินการสอบสวนให้ อย่าให้คนที่ไม่ได้ทำต้องมารับผิดชอบ และไม่จำเป็นต้องไปเจอที่ศาลตามที่นายสนธิบอกเพราะผมไม่ใช่จำเลย”
“ฝากไปถึงนายสนธิ เปิดเผยข้อมูลขึ้นมาเลย ผมพร้อมสู้ทุกอย่าง ไม่ใช่ให้ผมมาเป็นแพะรับบาป ผมไม่ใช่จำเลย และได้สอบถามคนใกล้ชิด ยืนยันไม่มีใครมาคุยด้วย ส่วนคณะกรรมการมีผลประโยชน์หรือไม่อย่างไร ไม่อยากพูด จะเป็นบาป แต่ขอให้ลงมติเปิดเผย ผมแบน 3 สารตัวแน่นอน มีนโยบายไปแล้วให้ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร และอธิบดีที่เกี่ยวข้องในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ โหวตเปิดเผย ลงมติอย่างไรสังคมจะได้รู้ทั้งหมด ผมจะได้จัดการ หากไม่ลงมติตามนโยบายที่ผมให้ไป คือ แบน 3 สาร”นายเฉลิมชัย กล่าว
ส่วน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวที่กล่าวหาว่า มีบริษัทเอกชนไปเจรจาไม่ให้แบน 3 สาร กับคนของพรรคประชาธิปัตย์ จะตั้งกรรมการสอบเรื่องนี้ไหม ด้วยการตอบสั้นๆ ว่า เลขาธิการพรรคได้ตอบแล้ว และท่าทีพรรคไม่เห็นด้วย พร้อมยืนยันแบน 3 สารแน่นอน พรรคได้ยืนยันชัดเจนสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ พร้อมสนับสนุน ในส่วนกระทรวงพาณิชย์ ที่เป็นตัวแทน 1 คน ในกรรมการ จะโหวตแบน 3 สาร ส่วนเรื่องการหาสารทดแทน เป็นเรื่องวิญญูชนรู้ดีอยู่แล้วว่า อะไรที่ดีและปลอดภัยกับเกษตรกร ผู้บริโภค
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวว่า ทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนให้เกษตรกรทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับผู้บริโภคและพี่น้องเกษตรกรมาโดยตลอด ปัจจัยที่เห็นอย่างเป็นรูปธรรมคือ ในทีมเศรษฐกิจทันสมัย นอกจากมีผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจที่มีความหลากหลายแล้ว ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรอินทรีย์คือนายนาวี นาควัชระ ร่วมอยู่ในทีมด้วยเช่นกัน
“จากประเด็นเรื่องสารเคมีอันตรายที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงกันเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ที่พรรคประชาธิปัตย์โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีจุดยืนที่ชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มต้น ในการไม่สนับสนุนสารเคมีอันตรายทั้ง 3 ชนิดคือ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส จึงสอดคล้องกับแนวทางของทีมเรื่องการสนับสนุนให้เกษตรกรทำเกษตรอินทรีย์มาอย่างต่อเนื่อง
“การทำเกษตรอินทรีย์มีมาตรฐานสูงกว่าการทำเกษตรแบบปลอดภัย เพราะไม่ใช้สารเคมีเลยในทุกกระบวนการของการผลิตโดยล่าสุดผมได้พาคณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัท COOP(โค-อ๊อพ สหกรณ์รวม) จากยุโรปนำโดยคุณเกอร์ฮาร์ด เซอร์ลูทเตอร์(Gerhard Zurlutter) ที่สนับสนุนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์และมีกระบวนการทําให้เกิดอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนในระยะกลาง-ยาว เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ และทีมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง โดยคุณเกอร์ฮาร์ด ได้แสดงความสนใจที่จะร่วมมือกับประเทศไทยในการรับซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์จากเรา ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่จะช่วยเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับพี่น้องเกษตรกรและเป็นการขยายตลาดไปยังต่างประเทศอีกด้วย”
นายปริญญ์ยังกล่าวด้วยว่าการทำเกษตรอินทรีย์ หากพี่น้องเกษตรกรได้รับการช่วยเหลืออย่างถูกวิธีทั้งการผลิตที่มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และการพัฒนาช่องทางการตลาด เมื่อเกษตรกรผลิตได้และขายได้ จะเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยยกระดับเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเองให้กับพี่น้องเกษตรกรเพื่อช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากได้อีกด้วย
ขณะที่ นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ร่วมกับอดีตผู้สมัคร สส. พรรคประชาธิปัตย์ จ.ศรีสะเกษ รวมถึงอดีต สส.และอดีตผู้สมัคร สส. ภาคอีสานของพรรค เพื่อพบปะกับกลุ่ม Young Smart Farmer ที่ทำเรื่องเกษตรอินทรีย์ เพื่อนำมาวางแผนและหาแนวทางในการช่วยเหลือ ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจทันสมัย (New Economy)
“ทีมเศรษฐกิจ นำโดย นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ หัวหน้าทีม และนายนาวี นาควัชระ ผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรอินทรีย์ ได้ลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ เนื่องจากเป็น 1 ในพื้นที่นำร่องในการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แบบบูรณาการ จ.ศรีสะเกษ เป็นเมืองเกษตรอินทรีย์ มีเกษตรกรที่หันมาทำเกษตรอินทรีย์เป็นจำนวนมาก การลงพื้นที่ของทีมเพื่อช่วยผลักดันให้ จ.ศรีสะเกษ เป็นเมืองเกษตรอินทรีย์แบบบูรณาการ ที่ต้องมีการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ
...นอกจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานตามที่ผู้บริโภคต้องการแล้ว ยังต้องช่วยเรื่องช่องทางการจำหน่าย โดยทีมเศรษฐกิจของพรรคมีแนวทางที่จะช่วยแก้ไขปัญหาทั้ง 2 ส่วน คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับสำหรับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ โดยร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ รวมถึงการหาช่องทางการตลาดใหม่ๆ นอกเหนือจากที่มีในปัจจุบัน เช่น โรงพยาบาล หรือกลุ่มผู้บริโภคในพื้นที่ โดยจะช่วยเจรจาหาช่องทางการค้าใหม่ รวมถึงช่องทางออนไลน์ เพื่อเป็นการขยายฐานการตลาดออกไปให้กว้างขึ้น และมีความตั้งใจจะใช้ศรีสะเกษโมเดล ขยายผลไปยังจังหวัดอื่นๆ ด้วย” นางดรุณวรรณ กล่าว
ต่อมา วันที่ 9 ต.ค 2462 - นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊คว่า สัญญาณมาเต็ม สารพิษ 3 ตัวโดนแบนแน่!สัญญาณมาเต็ม สารพิษ 3 ตัวโดนแบนแน่!
เมื่อวานผมไปคุย “พี่ต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ สัญญาณชัดเจนไม่ต้องแปล สารฆ่าหญ้า 3 ตัว โดนแบนแน่ๆ!ส่วนที่ผมต้องยกนิ้วให้ คือ พี่ต่อพูดว่า “พี่จะเน้นเกษตรอินทรีย์”
ผมก็ได้จังหวะ เรียกว่าได้คืบจะเอาศอก เสนอให้กระทรวงเกษตรฯจัดทำ Big data รวมข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำเกษตรทุกพื้นที่ของประเทศเป็น map ผ่าน Application ข้อมูลและความรู้ที่กระจัดกระจายอยู่หลายกรม กอง ของกระทรวงควรถูกนำมาย่อยและนำเสนอให้ประชาชน ซึ่งเดิมข้อมูลค่อนข้างเก่า ให้เพิ่มความละเอียดในการแนะนำชนิดพืชกับที่ดิน และเทคนิคการเกษตรต่างๆ เพื่อให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น และปลอดภัย
App ทำไม่ยาก ยากที่ข้อมูลที่จะป้อนลงไป ข้อมูลต้องมาจากราชการหลายหน่วยงาน ภาคเอกชน เกษตรที่สัมผัสประสบการณ์จริง ช่วยกันปรับปรุงชุดข้อมูล โดยมีกระทรวงเกษตรฯเป็นผู้กำกับ ทีนี้เกษตรกรกดโทรศัพท์ก็รู้หมดแล้ว ท่านรัฐมนตรีรับไปแล้วครับ
ด้าน นายเชาว์ มีขวด ทนายอาสา อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัว “Chao Meekhuad” ในหัวข้อ เลิกใช้ 3 สารพิษอันตราย “ทุกอย่างสงบจบที่ลุงตู่” โดยมีเนื้อหาว่า การเรียกร้องให้ยกเลิกใช้สารเคมี 3 ชนิดคือพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซตกลายเป็นปัญหาที่ถกเถียงกันไม่รู้จักจบสิ้น ทั้งๆ ที่มีข้อมูลบ่งชี้ชัดว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมไม่มีประเทศไหนในโลกเขาใช้กันแล้วแม้แต่ประเทศผู้ผลิตเองก็ห้ามใช้มีแต่ประเทศไทยซึ่งมีพื้นที่ทำการเกษตรอันดับ 48 ของโลกแต่เป็นผู้ใช้สารพิษอยู่ในอันดับ 4-5 ของโลก
นายเชาว์กล่าวว่าเรื่องนี้ไม่ใช่พึ่งมาพูดกันในตอนนี้คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูงซึ่งประกอบด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เคยมีมติให้ยกเลิกการใช้สารเคมี 3 ชนิดนี้ไปตั้งแต่เดือนเมษายน 2560 แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ยอมทำตาม
จนกระทั่งมีการร้องเรียนไปที่ผู้ตรวจการแผ่นดินหลายครั้งผู้ตรวจการแผ่นดินก็เคยมีมติให้กรมวิชาการเกษตรยกเลิกการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด ภายใน 1 ปี พร้อมทั้งส่งความเห็นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนายกรัฐมนตรีและครม.รับทราบ ถึงกรณีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ยอมปฏิบัติตามข้อเสนอของผู้ตรวจการแผ่นดิน
ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คณะกรรมการวัตถุอันตรายกลับมีมติยืนยันมติเดิม ไม่ฟังข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินอีกด้วย ทำให้ต่อมาเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2562 ผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีมติซ้ำอีกครั้งโดยกำหนดเวลา 60 วัน ให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายยกเลิกการใช้ภายในกรอบเวลาที่ชัดเจน แต่แล้วก็ไม่มีใครฟังเสียงหรือปฏิบัติตามมติผู้ตรวจการแผ่นดิน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2562 ที่ผ่านมาผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศเพื่อปรับระดับการควบคุมพาราควอตให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
แต่แล้วเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2562 คล้อยหลังมติผู้ตรวจการเพียง 5 วัน คณะกรรมการวัตถุอันตรายไม่ทราบได้ยาดีมาจากไหนยังดันทุรังมีมติย้ำอีกครั้งว่าจะยกเลิกสารเคมีทั้ง 3 ชนิดก็ต่อเมื่อมีสารอย่างอื่นมาทดแทน โดยขอขยายเวลาดำเนินการออกไป 60 วัน
“การโยนลูกกันไปมาระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยไม่ฟังเสียงคำแนะนำหรือมติของผู้ตรวจการแผ่นดินลุกลามไปถึงการนำเอาประเด็นนี้มาโจมตีใส่ร้ายป้ายสีตีกินทางการเมืองว่าเกิดจากพรรคการเมืองนี้ รัฐมนตรีคนนั้น ทำท่าจะบานปลาย ประชาชนตาดำๆ เกิดความสับสนว่าสุดท้ายจะจบอย่างไร ทั้งๆ ที่ปัญหามิใช่เพิ่งเกิด แต่มีมานานแล้ว ตั้งแต่ยุค คสช.ที่นายกฯลุงตู่เป็นนายกรัฐมนตรี มี ม.44 อยู่ในมือ ทั้งมีข้อมูลข้อเท็จจริงบ่งชี้ชัดแล้วว่า 3 สารพิษเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนและสิ่งแวดล้อมไม่มีประเทศไหนในโลกเขาใช้กันแล้วแม้แต่ประเทศผู้ผลิตเองก็ตาม แต่นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำรัฐบาลทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่เคยลงมาจัดการแก้ไขปัญหาว่าจะเอาอย่างไร ลอยตัวเหนือปัญหา ปล่อยให้หน่วยงานทะเลาะกันไปวันๆ แสดงให้เห็นถึงความต่ำเตี้ยของภาวะความเป็นผู้นำในการตัดสินใจเชิงนโยบาย จนชาวบ้านคิดไปต่างๆ นานาว่าเรื่องนี้มีผลประโยชน์ของกลุ่มทุนนำเข้าสารพิษมาเกี่ยวข้องจึงเรียกร้องให้นายกฯประยุทธ์รีบจัดการแก้ไขปัญหาโดยเร็ว ไหนว่าทุกความสงบจะจบที่ลุงตู่ หรือที่แท้เป็นเพียงวาทกรรมที่เขียนเสือให้วัวกลัวเท่านั้น” นายเชาว์ กล่าว
รอกันอีกสักนิดครับ ผมเองเชื่อว่า สถานการณ์ไล่ต้อนทุกคนมาถึงจุดที่ต้องแสดงความชัดเจนแล้ว คนสุดท้าย ก่อนถึงการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่ต้องแสดงความชัดเจนคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีทางออกอีกทางหนึ่งรอว่าต้องใช้หรือไม่ นั่นคือให้คณะรัฐมนตรี ออกพระราชกำหนดยกเลิกสารพิษทั้งสามนั้นซะ
หากพูดกันดีๆ ให้โอกาสลงมติกันแล้ว ก็ยังไม่ทำคงต้องมาจบที่ไม้นี้ !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี