หลังจากการเคลื่อนแสนยานุภาพของสหรัฐไปกดดันเกาหลีเหนือ อิหร่าน และทะเลจีนใต้เป็นระยะๆ แรงกดดันเหล่านั้นไม่ได้ผลใดๆ ต่อประเทศที่ถูกกดดัน แต่กลับส่งผลให้มิตรประเทศของสหรัฐต้องซื้อหาอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาล
จนทำให้เห็นว่าการก่อสถานการณ์เหล่านั้นหาใช่วัตถุประสงค์ที่แท้จริงไม่ และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงน่าจะอยู่ที่ความต้องการในการขายอาวุธยุทโธปกรณ์
เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ เพื่อแสวงหารายได้ในการดิ้นรนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจสงครามของประเทศ และเพื่อเอาอกเอาใจบรรดาเจ้ามือหรือนายทุนใหญ่ของพรรคการเมือง ทั้งเพื่อเตรียมการเลือกตั้งครั้งใหม่ด้วย ทำให้ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของลุงตั้มแม้ไม่นานนัก ก็สามารถขายอาวุธยุทโธปกรณ์ได้มากที่สุดยิ่งกว่ายุคสมัยของประธานาธิบดีคนใดๆ ในอดีต
ประเทศไทยของเราก็ถูกลมพัดลมเพ จึงทำให้เกิดข้อตกลงในการซื้อหาอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากเลือกตั้งในเวลาแค่ไม่กี่เดือน ประเทศไทยต้องจัดซื้อจัดหามาแล้วห้าครั้ง
ครั้งที่หนึ่ง การจัดซื้อในมูลค่า 3,000 ล้านบาทเศษ
ครั้งที่สอง การจัดซื้อในมูลค่า 2,000 ล้านบาทเศษ
ครั้งที่สาม การจัดซื้อในมูลค่า 5,000 ล้านบาทเศษ
ครั้งที่สี่ การจัดซื้อในมูลค่า 7,000 ล้านบาทเศษ ซึ่งจะซื้อกันในปีหน้า และเป็นขั้นตอนที่สหรัฐอนุมัติการขายแล้วคงเหลือแต่ว่าประเทศไทยจะคอนเฟิร์มการจัดซื้อเมื่อใด
ครั้งที่ห้า เป็นการจัดซื้อที่เป็นข่าวในช่วงนายกรัฐมนตรีเดินทางไปประชุมสหประชาชาติที่นิวยอร์ก และได้มีโอกาสพบปะกับประธานาธิบดีทรัมป์เป็นพิเศษด้วย แต่ก็มีข่าวเรื่องนี้ควบคู่กันมาว่าสหรัฐอนุมัติการขายเฮลิคอปเตอร์ให้แก่ประเทศไทยเป็นมูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท
และเป็นที่คาดหมายว่าเมื่อประเทศไทยคอนเฟิร์มการจัดซื้อครั้งที่ห้าเมื่อใด ก็อาจมีข้อเสนอให้ประเทศไทยต้องจัดซื้อครั้งที่หกในมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ต่อไปด้วย และไม่แน่ว่าจะมีครั้งต่อๆ ไปอีกกี่ครั้งและจำนวนเท่าใด
เพราะเหตุนี้จึงไม่เป็นที่ประหลาดใจอันใดที่จะมีท่าทีบางอย่างเออออห่อหมกสนับสนุน แต่ในขณะเดียวกันการขยายการเคลื่อนไหวกับกลุ่มมวลชนต่างๆ แบบที่เกิดขึ้นในฮ่องกงก็ขยายตัวไปอย่างซึมลึกกว้างขวาง
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเพราะการเช่นนั้นนั่นแหละจึงเป็นทางให้มีการทำความตกลงซื้อขายอาวุธยุทโธปกรณ์กันได้และตราบใดที่ตกลงกันได้ก็จะไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นแบบที่เกิดขึ้นในฮ่องกง แต่ถ้าเมื่อใดไม่สามารถจัดซื้อจัดหาได้สถานการณ์ก็น่ากังวลยิ่ง
เหตุการณ์แบบนี้สำหรับประเทศที่ร่ำรวยและเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐ โดยเฉพาะในเอเชียคือญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ต่างก็ได้ทำความตกลงจัดซื้อจัดหาเป็นมูลค่าใกล้ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เต็มทีแล้ว จนประเทศเหล่านี้กำลังทนไม่ไหวและกำลังหันเหเทใจไปขยายความสัมพันธ์กับประเทศกลุ่มองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้มากขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
เช่นเดียวกัน พันธมิตรของสหรัฐในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ บาห์เรน ยูเออี คูเวต ต่างก็ต้องรับข้อเสนอซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ร่วมล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าพันธมิตรญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน มากมายนัก
กระทั่งกาตาร์ทนไม่ไหว ต้องแยกตัวออกไปคบหากับอิหร่าน รัสเซีย และตุรกีแทน และล่าสุดทั้งซาอุดีอาระเบีย ยูเออี บาห์เรน คูเวต ต่างก็กำลังปรับเนื้อปรับตัวด้วยกันทั้งหมด เพราะถ้าขืนจัดซื้อจัดหาต่อไปก็คงล้มละลายกันทั้งประเทศ แต่ถ้าไม่จัดซื้อจัดหาก็จะเกิดเหตุสารพัดที่คาดคิดไม่ถึง
สภาพดังกล่าวเหล่านั้นจึงทำให้คนจำนวนมากมองเห็นธาตุแท้ของสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโลกว่าแท้จริงแล้วก็คือความต้องการในการขายอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นหลัก
สงครามการค้าก็เช่นเดียวกัน เป็นการสร้างความขัดแย้งในทางการค้าเพราะสถานการณ์ในทางแสนยานุภาพนั้นในวันนี้สหรัฐและประเทศนาโต้ไม่มีความได้เปรียบใดๆ ที่เหนือกว่ากลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้เลย
ดังนั้นการเปิดศึกสงครามจำกัดเขตใดๆ จึงมีแต่ความปราชัยพ่ายแพ้ยับเยินทุกสมรภูมิ ไม่ว่าในซีเรีย ในอิรัก ในอัฟกานิสถานในทวีปแอฟริกา หรือแม้แต่ในรัฐยะไข่ ของเมียนมา หรือในมินดาเนาของฟิลิปปินส์ หรือแม้กระทั่งสถานการณ์ในอเมริกาใต้
เมื่อการทำสงครามจำกัดเขตมีแต่จะประจานตนเอง และก่อให้เกิดความเสียหายในด้านความเชื่อมั่น ในด้านแสนยานุภาพ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำสงครามวงกว้าง ซึ่ง ณ วันนี้สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีชาติใดกล้าคิดกล้าทำสงครามโลก
ดังนั้นสงครามการค้าจึงเป็นเครื่องมือใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้ทางการทหาร และเพื่อกลบเกลื่อนความไม่ได้เปรียบหรือความไม่เหนือกว่าทางด้านแสนยานุภาพ เพราะเหตุนี้จึงมีการใช้แสนยานุภาพทางด้านเศรษฐกิจก่อสงครามการค้าขึ้นในโลก
ความจริงสิ่งที่เรียกว่าสงครามการค้านั้นก็เผยโฉมหน้าให้เห็นแล้ว โดยมาตรการคว่ำบาตร หรือแซงก์ชั่นสารพัด ที่มิได้อาศัยองค์อำนาจขององค์การสหประชาชาติหรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จนทำให้องค์กรนี้กลายเป็นเจว็ดแบบเดียวกับสันนิบาตชาติที่ล้มละลายหายสาบสูญไปนานแล้ว
สหรัฐได้ใช้มาตรการแซงก์ชั่น หรือคว่ำบาตรสารพัดชนิดกับประเทศและบุคคลต่างๆ ทั่วโลกตามอำเภอใจมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยยกระดับหรือขยายวงที่กว้างขวางรุนแรงเท่ากับสงครามการค้าที่ทำกับจีน
จึงกล่าวได้ว่าสงครามการค้าที่สหรัฐกระทำกับจีนนั้นเป็นการปรากฏตัวของการทำสงครามการค้าเต็มรูปแบบขึ้นในโลกเป็นครั้งแรกโดยสหรัฐกระทำต่อจีน แต่เป้าหมายโดยรวมก็คือการทำลายกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้นั่นเอง
สหรัฐรู้ดีว่าแม้ระดับศักยะสงครามโดยเฉพาะด้านแสนยานุภาพแล้ว รัสเซีย จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ไม่ได้ห่างกันมากนัก แต่ทุกประเทศเหล่านี้ล้วนต้องพึ่งพาหรือเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจกับจีน ดังนั้นจีนจึงเป็นเส้นเลือดใหญ่ด้านเศรษฐกิจให้กับกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้
การเปิดสงครามการค้ากับจีน เป้าหมายแรกของสหรัฐคือทำลายกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ ทำลายความเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ทำลายยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหม โดยหวังว่าถ้าทำได้สำเร็จทั้งจีนและกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ก็จะต้องชะลอความก้าวหน้าในทุกด้านลง ในขณะที่สหรัฐก็เร่งระดมขายอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อนำงบประมาณมาบำรุงเลี้ยงและพัฒนากองทัพให้กลับสู่ความก้าวหน้าลำดับหนึ่งให้ทันท่วงที
ดังนั้นฐานะทางยุทธศาสตร์ของสิ่งที่เรียกว่าสงครามการค้าสหรัฐ-จีน จึงเป็นสงครามทุกประเภทที่รวมศูนย์ที่แสดงออกในรูปแบบสงครามการค้า เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าวข้างต้นนั้น
แต่ทว่าเจตจำนงอาจเป็นของคน แต่จะทำได้แค่ไหนเพียงใดขึ้นอยู่กับความเป็นจริงของสถานการณ์และสภาพทั้งหลาย ซึ่งวันนี้ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ของโลกได้ทำให้พื้นฐานการวางยุทธศาสตร์สงครามการค้าไม่ตั้งอยู่ในความเป็นจริงอีกต่อไปแล้ว
ประการแรก ผู้นำกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ โดยเฉพาะรัสเซีย จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือทราบและเข้าใจสถานการณ์อย่างดียิ่ง จึงแทนที่จะแตกแยกแตกสามัคคีกันก็กลับสามัคคีแน่นแฟ้น ผนึกกำลังประสานการเคลื่อนไหวดุจทำนองเพลงอันสุดแสนจะไพเราะขึ้นในโลก ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าสงครามการค้าจึงยังไม่สามารถทำลายแก่นหลักของกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ได้
ประการที่สอง แม้สหรัฐจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจมาช้านาน แต่เมื่อเอาเข้าจริงก็ไม่สามารถกดข่มแสนยานุภาพทางเศรษฐกิจของจีนได้ ศูนย์กลางการนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้อาศัยลัทธิมาร์ซเลนินและความคิด เหมา เจ๋อ ตุง ดำเนินยุทธศาสตร์สงครามยืดเยื้อทางการค้า และดำเนินยุทธศาสตร์สงครามจรยุทธ์ในสงครามยืดเยื้อในสงครามการค้ากับสหรัฐอย่างล้ำลึก
สถานการณ์ล่าสุดในวันนี้จึงทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในสหรัฐเอง ถึงขั้นขาดสภาพคล่องและต้องถึงขนาดอัดฉีดเงินกงเต๊ก หรือเงินลมเข้าสู่ระบบอย่างขนานใหญ่
คำถามคือ สหรัฐมีขีดความสามารถที่จะยืนหยัดในสงครามยืดเยื้อของสงครามการค้าของ สี จิ้น ผิง ได้หรือไม่ และมียุทธศาสตร์ใดที่จะรับมือกับยุทธศาสตร์สงครามจรยุทธ์ในสงครามยืดเยื้อทางการค้าของ สี จิ้น ผิง ได้หรือไม่
คำตอบก็คือ ไม่มี!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี