ทำไมคนบางคนซึ่งทำเรื่องขึ้นมาด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายเมื่อเรื่องราวกลายเป็นคดีความถึงโรงถึงศาลเจ้าตัวที่เป็นคนต้นเรื่องกลับอ้างแบบไม่น่าเชื่อถือว่า ผมไม่ทราบ ผมลืม มีเดินทางมาก ผมมีเรื่องอื่นๆ อีกมากที่ต้องทำ ฯลฯ
แล้วก็น่าสงสัยไม่น้อยไปกว่ากันว่าเหตุใดคนที่เป็นผู้ใกล้ชิดสนิทมากที่สุดกับคนต้นเรื่อง ซึ่งได้รับเช็คมูลค่าหลายล้านบาท จึงไม่นำเช็คไปขึ้นเงินในระยะเวลาที่เหมาะสม แต่กลับทิ้งเช็คไว้ในกระเป๋าถือ โดยปล่อยให้กินเวลาล่วงเลยหลายเดือน โดยอ้างแบบเลื่อนลอยว่ามีเรื่องอื่นที่ต้องดูแล จึงไม่สนใจนำเช็คไปขึ้นเงิน
คนที่ยังไม่รู้เรื่องราวของตนเอง โดยอ้างว่าจำไม่ได้ ไม่ทราบ คนแบบนี้นี่หรือจะขึ้นไปทำหน้าที่เป็นนักการเมืองไทย หรือประกาศว่าจะขึ้นไปรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย เพื่อเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยดีขึ้น (หรือว่าจริงๆ แล้วนักการเมืองไทยต้องเป็นคนแบบนี้)
ผู้เขียนขอให้คุณผู้อ่านกลับไปทบทวนพฤติเหตุและพฤติกรรมของนักการเมืองหน้าใหม่รายหนึ่งที่ไปขึ้นศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2562 แล้วขอให้ดูทั้งข่าวที่รายงานเป็นตัวหนังสือ และดูข่าวที่รายงานในหน้าจอโทรทัศน์ รวมถึงในสื่อกลุ่ม social media ให้มากที่สุดเท่าที่พอจะมีเวลา เมื่อดูแล้ว ลองตั้งคำถามกับตัวคุณเองด้วยว่า เรื่องนี้มีความน่าเชื่อถือ หรือน่าหัวเราะ
ตอนนี้มีคำถามที่พูดกันมากมายในสังคมว่า ถ้าเรื่องของตัวเองซึ่งตัวเองเป็นผู้กระทำการหลัก แต่ยังอ้างว่า ผมไม่ทราบ ผมไม่รู้ ผมลืม แล้วเรื่องราวอื่นๆ ของสังคมที่มีอีกมากมายมหาศาล คนที่ไปขึ้นศาลรายนี้จะมีปัญญาไปจดไปจำ ไปรับรู้รับทราบ แล้วจะมีปัญญาแก้ไขปัญหาให้สังคมหรือ หลายคนวิตกกังวลว่า เกรงว่าจะเข้าไปก่อปัญหาใหญ่ให้กับสังคมเสียมากกว่า (มุมมองนี้มาจากกลุ่มของคนที่ไม่ปลื้มกับนักการเมืองหน้าใหม่ที่เป็นมหาเศรษฐี ซึ่งเติบโตและร่ำรวยมาจากธุรกิจในครอบครัว)
ผู้เขียนเชื่อว่าสังคมไทยไม่รังเกียจเศรษฐีที่ทำมาหากินมาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แต่ถึงกระนั้นก็ยังเชื่อว่ายังมีคนไทยอีกไม่น้อยเช่นกันที่ไม่รังเกียจมหาเศรษฐีที่ทำมาหากินด้วยความฉ้อฉล เหตุที่เชื่อเช่นนั้นเพราะเราพบเห็นเสมอๆ ว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยชื่นชอบ และยกย่องคนรวย โดยไม่เคยตั้งคำถามว่ารวยขึ้นมาได้เพราะเหตุใด เอาเป็นแค่เห็นว่าเขามีบ้านหลังใหญ่หลังโตมีรถยนต์หรูๆ หลายคัน มีแก้วแหวนเงินทองมากมาย เพียงเท่านี้คนไทยจำนวนหนึ่งก็นิยมชมชอบแล้ว
เมื่อเป็นเสียอย่างนี้ ก็จึงทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยแสวงหาความร่ำรวย และแสวงหาอำนาจโดยไม่สนใจว่าความร่ำรวยและอำนาจนั้นมีต้นสายปลายเหตุมาจากอะไร หลายคนบอกแบบติดตลกว่า รวยเสียอย่าง ทำเลวเพียงไหนก็ไม่น่าเกลียด แต่ถ้าจนเสียแล้ว ต่อให้ทำดีก็ไม่น่าสนใจ
ขอย้อนกลับไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อช่วงสายวันที่ 18 ตุลาคม 2562 เพื่อดูเรื่องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่ายังคงอยู่หรือสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) อันเนื่องมาจากนายธนาธรถือหุ้นของบริษัท วี-ลัค มีเดีย และขอให้วินิจฉัยว่าบุคคลดังกล่าวเข้าหลักลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยหรือไม่
บางคนอาจจะวิพากษ์เรื่องนี้ด้วยความหลงใหลส่วนตัวว่า อ้าว เหตุใดจึงต้องจำกัดสิทธิของคนรวยในการจะเป็นนักการเมือง หรือเป็น สส. แต่สำหรับคนที่ไม่ได้หลงใหล แต่พิจารณาด้วยสติจะตอบว่า ไม่ได้หวงห้ามคนรวยเป็นนักการเมือง หากคนรวยรายนั้นทำทุกอย่างถูกต้องตามหลักกฎหมาย แต่ถ้าหากคนรวยไม่สามารถทำตามหลักกฎหมายเบื้องต้นได้แล้ว ก็อย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลย เพราะจะนำมาซึ่งความวิบัติฉิบหายต่อประเทศชาติเสียมากกว่า
การตรวจสอบคนรวยที่เข้าสู่กระบวนการการเมืองด้วยกระบวนการยุติธรรม เนื่องมาจากคนรวยรายนี้มีพฤติกรรมเข้าข่ายชวนให้น่าสงสัยว่าจะไม่ขาว ไม่สะอาด เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องกระทำเป็นที่สุด อย่าไปคิดและอย่าไปเชื่อว่า รวยแล้วไม่โกง หรือรวยพอแล้วจะเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติ เพราะไม่เคยมีทฤษฎีใด หรือใครหน้าไหนกล้ายืนยันอย่างหนักแน่นว่า คนรวยไม่โกง หรือคนรวยไม่ประพฤติตัวเลวทรามต่ำช้า
ถามว่าคดีนายธนาธรถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย เป็นคดีการเมืองจริงหรือ แล้วทำไมจึงมีหลายคนชอบพูดบิดเบือนว่านายธนาธรถูกเล่นงานทางการเมือง เพราะชนะการเลือกตั้ง ถ้าหากแพ้การเลือกตั้ง ก็จะไม่มีการนำคดีนี้ไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญ หรือบางคนบิดเบือนหนักกว่านั้นอีก โดยกล่าวว่า หากนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ตัดสินใจร่วมรัฐบาลกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายธนาธรจะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาเช่นนี้ การที่มีคนบางกลุ่มเชื่อและพูดเช่นนี้ได้นั้น เท่ากับเขาเหล่านั้นไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทย ใช่หรือไม่ แต่ความเชื่อก็คือความเชื่อ ใครจะเชื่ออย่างไร ก็เป็นสิทธิ์ของคนผู้นั้น เพราะขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญา และประสบการณ์ของแต่ละบุคคล แต่ความจริง ก็คือความจริง และความจริงก็เป็นสิ่งที่สังคมสามารถพิสูจน์ได้
กลับไปพิจารณาคำพูดของนายธนาธรที่ให้กับศาลรัฐธรรมนูญในวันดังกล่าว โดยเฉพาะคำที่พูดว่า จะต้องให้ตอบอีกกี่ครั้งว่าจำไม่ได้
คำตอบเช่นนี้อาจเป็นคำตอบที่คนจำนวนหนึ่งบอกว่า เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะว่าคนเราจะไปจดไปจำเรื่องต่างๆ นานาในชีวิตได้ทั้งหมดได้อย่างไร แต่ช้าก่อน โปรดตั้งสติให้ดี อย่าลืมว่าเรื่องนี้เป็นคดีความ แล้วศาลก็ได้ให้เวลากับผู้ที่ต้องให้ปากคำกับศาลไปเตรียมตัวไปค้นหาเอกสาร ไปหาตัวพยานบุคคล มาเพื่อตอบคำถามของศาลให้ดีที่สุด
ศาลไม่ได้เรียกตัวในวันนี้ แล้วให้ตอบในทันที อย่าลืมว่านายธนาธรมีเวลาเตรียมตัวมานานแล้ว ดังนั้นการอ้างว่า ผมไม่ทราบ ผมจำไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่วิญญูชนฟังแล้วเห็นตรงกันว่าไร้สาระ
ยิ่งการอ้างว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องไปอยู่หน้าบัลลังก์ศาลเพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีคดีความใดๆ ก็ต้องบอกว่าเป็นข้ออ้างที่แสนตลก เพราะคนที่ต้องไปขึ้นศาล แล้วต้องให้ปากคำต่อหน้าบัลลังก์ศาลเป็นครั้งแรกนั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ขาวสะอาดเสมอไป เพราะวิญญูชนในสังคมไทยทราบดีว่า คนจำนวนไม่น้อยไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ พูดตรงๆ ก็คือเป็นผู้ร้าย แต่ไม่เคยถูกดำเนินคดี เพราะสามารถทำตัวให้หลุดรอดจากการถูกนำตัวไปดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมได้ด้วยกลอุบายที่สุดแสนจะบรรยาย
ดังนั้นการที่บุคคลใดจะอ้างว่าไม่เคยต้องคดี และไม่เคยขึ้นศาลมาก่อน แล้วอ้างว่าตนเองบริสุทธิ์ ขาวสะอาดจึงเป็นเรื่องน่าขันเป็นที่สุด
ยิ่งเป็นการตอบคำถามเรื่องเช็ค ที่ศาลถามว่าในทำนองที่ว่า เหตุใดนำเช็คไปขึ้นเงินล่าช้ามากจนผิดสังเกต คือได้เช็คมาตั้งแต่เดือนมกราคม แต่นำเช็คไปขึ้นเงินในเดือนพฤษภาคม ก็ทำให้คนที่มีปัญญาในสังคมถึงกับอมยิ้มด้วยความสังเวช เมื่อได้ยินคำตอบว่า ตนเองไม่เคยถาม และไม่เคยรู้มาก่อน แล้วยิ่งคำตอบที่อ้างว่า ครอบครัวของผมไม่เดือดร้อนเรื่องเงินเรื่องทอง เมื่อตอบเช่นนี้ คนในสังคมก็จึงขอถามต่อไปว่า หากไม่เดือดร้อนเรื่องเงินเรื่องทองจริงๆ แล้วจะเอาเช็คไปขึ้นเงินทำไม เมื่อไม่เดือดร้อนมาตั้งนานแล้ว ก็ทิ้งเช็คไปก็น่าจะได้มิใช่หรือ ส่วนประเด็นที่ว่าไม่รู้เรื่องเช็คนั้น มีผู้ถามว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะตนเองมีการซื้อขายหุ้นของบริษัท แล้วจะไม่รู้เรื่องเช็คได้อย่างไร หรือจะยอมรับว่าเหตุที่ไม่รู้เรื่องเช็คนั้น เพราะไม่มีการซื้อขายหุ้นกันจริง
ส่วนเรื่อง time machine ที่นายธนาธรยกขึ้นมาอ้างนั้น ก็นับว่าน่าสนใจ เพราะการที่ตนเองตอบว่าไม่มี time machine
และจะตีขลุมว่าตนเองบริสุทธิ์ ศาลไม่ควรรับคดีนี้ไว้พิจารณา คำพูดเช่นนี้มีเหตุมีผลเพียงพอหรือไม่ วิญญูชนย่อมสามารถตอบได้เป็นอย่างดี เพราะวิญญูชนก็ไม่มี time machine แต่วิญญูชนมีสติปัญญา และมีความบริสุทธิ์ใจ
ส่วนเรื่องที่นายธนาธรบอกกับศาลว่าจะไปฟ้องร้อง คสช. ในวันที่ คสช. หมดอำนาจ เรื่องนี้มีผู้ตั้งคำถามว่า ทำไมต้องรอให้ คสช. หมดอำนาจ เพราะผิดก็คือผิด ผิดจะกลายเป็นถูกในวันหนึ่ง แล้วกลายเป็นผิดในอีกวันหนึ่งย่อมไม่ได้ การพูด
เช่นนี้ย่อมส่อแสดงให้เห็นว่า ผู้พูดมีความเชื่อส่วนตัวว่า ความผิดความถูกเป็นเรื่องของอำนาจ คือพูดตรงๆ ว่า อำนาจทำให้ผิดหรือถูกได้ หากผู้พูดเชื่อเช่นนั้นจริงๆ ก็หมายความว่าผู้พูดต้องการเข้าไปมีอำนาจรัฐเพื่อทำเรื่องผิดให้กลายเป็นถูก แล้วทำเรื่องถูกให้กลายเป็นผิด ใช่หรือไม่
ยังมีอีกสารพัดคำพูดของนายธนาธรบนศาลในวันที่ 18 ตุลาคม ที่ทำให้วิญญูชนถึงกับหัวร่องอหาย เช่น เรื่องนั่งรถยนต์กับการนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ แถมยิ่งพูดเรื่องเตรียมตัวลงเล่นการเมืองมาตั้งแต่ปลายปี 2560 แต่กลับไม่โอนหุ้นให้เรียบร้อย โดยอ้างว่ามีภารกิจมากมาย มีธุรกิจหลายสิบธุรกิจ ก็ทำให้ผู้ฟังที่พอจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง โดยไม่จำเป็นต้องมีสติปัญญาหรือมีไอคิวสูงส่งถึง 180 ก็คงจะเชื่อได้ยาก ยกเว้นจะตั้งใจเชื่อจริงๆ โดยไม่อยากจะตั้งคำถามใดๆ ให้เสียน้ำใจกันเอง
คำถามทิ้งท้ายของผู้เขียนสำหรับสัปดาห์นี้คือ คนพรรค์อย่างนี้หรือจะเข้ามาเพื่อทำให้การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ถามย้ำๆ ว่า คนพรรค์อย่างนี้หรือจะเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยให้ดีขึ้น คุณเชื่อหรือ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี