นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขึ้นศาลรัฐธรรมนูญ แทนที่จะใช้โอกาสแก้ข้อกล่าวหา สร้างความหนักแน่น หมดจด ชัดแจ้งให้กับตัวเอง แต่กลับกลายเป็นว่าไม่ได้ช่วยเพิ่มน้ำหนักการต่อสู้คดีให้กับตัวเองเลย มิหนำซ้ำยังถ่มน้ำลายขึ้นฟ้า ก่อนหล่นลงมารดหน้าตัวเอง และทำเสมือนว่าเดินสะดุดขาตัวเองล้มทับมีดที่ตัวเองถือมา ตายอนาถ
1. น้ำลายตัวเอง ทำลายตัวเอง
1.1 หลุดปากโจมตีทักษิณ แต่ออกจากศาลรีบขอโทษทักษิณ เหมือนถุยน้ำลายออกมา แล้วรีบกลืนกลับเข้าไปใหม่ สะท้อนความเกรงใจทักษิณ จำเลยคดีทุจริต หนีโทษจำคุก หนีหมายจับศาล
1.2 ไปยื่นเงื่อนไขกับศาล ทำนองว่า หากตัดสินเป็นคุณ จะโอนหุ้นให้บลายด์ทรัสต์ เป็นการกระทำเสมือนต่อรองในเรื่องที่อยู่นอกเหนือคดี คนที่มีจริยธรรม คุณธรรมแท้จริง ไม่มีใครเขาทำแบบนี้
1.3 ข่มขู่ว่าจะฟ้อง กกต.ต่อหน้าศาลรัฐธรรมนูญ ขู่เข็ญซึ่งหน้าเจ้าหน้าที่ กกต. ที่เขาทำหน้าที่ซักถามแล้วตนเองตอบไม่กระจ่าง โดยขู่ว่าจะดำเนินคดีหาก คสช.พ้นอำนาจ
1.4 ยกตนข่มท่าน เมื่อถูกถามถึงยอดเงินค่าหุ้น โดยตอบโต้กลับไปว่าตนเองไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน
1.5 ยกตนข่มตุลาการ เมื่อถูกถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการโอนหุ้น และการวางแผนเพื่อโอนหุ้นตามวันที่อ้างนั้น กลับพยายามอวดว่าตัวเองตารางหาเสียงแน่น ถ้าตุลาการถูกถามก็คงตอบไม่ได้ (แต่ถูกตุลาการตอบกลับว่า ตอบได้)
1.6 รายละเอียดส่วนใหญ่ นายธนาธรตอบว่า จำไม่ได้ จำไม่ได้จำไม่ได้
ทั้งๆ ที่ มีเวลาเตรียมตัวก่อนมาขึ้นศาลรัฐธรรมนูญนับเดือน และเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับวันโอนหุ้น ซึ่งสำคัญถึงขนาดไม่เลื่อนวัน ทั้งๆ ที่ ติดปราศรัยที่จังหวัดบุรีรัมย์
ทั้งหมด ล้วนแต่เป็นการแสดงออกที่ “ทำลายตัวเอง” เพราะทำลายความน่าเชื่อถือ และเปิดเผยให้เห็นธาตุแท้ วิธีคิด และตัวตน ว่าเป็นคนจริง ของจริง มีภาวะผู้นำ เป็นนักการเมืองคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ
หรือแค่ของปลอม ของเก๊ “ฮ่องเต้ซินโดรม”
2. จุดตายคดีหุ้นวี-ลัค
เท่าที่ติดตามการถ่ายทอดสดการไต่สวนคดีหุ้นวี-ลัค ยังมองไม่เห็นว่านายธนาธรจะหักล้างประเด็นที่เป็นจุดตายสำคัญของคดีได้อย่างหนักแน่น ตรงไหนเลยแม้แต่น้อย
เอาง่ายๆ คำติดหูคนในสังคม คือ “ผมจำไม่ได้-ผมไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน-ผมไม่มีผลประโยชน์เหมือนทักษิณ”
หากกลับไปดูประเด็นสำคัญ ปรากฏในคำคัดค้านคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ที่ประธานกรรมการการเลือกตั้งยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 2 ส.ค.2562 (ข้อมูลจากเอกสารการเผยแพร่ของพรรคอนาคตใหม่) จะเห็นว่า กกต.ได้วางประเด็นที่เป็นจุดตายไว้ชัดเจน
แล้วจะเห็นว่า นายธนาธรไม่ได้ใช้โอกาสที่ขึ้นศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงด้วยตนเองอย่างมีน้ำหนักเลยแม้แต่น้อย
สรุปใจความสำคัญ ดังนี้
1. กกต.แสดงเอกสารหลักฐานว่า บริษัทแจ้งวัตถุประสงค์ข้อ 23คือ ประกอบกิจการออกหนังสือพิมพ์ โรงพิมพ์ รับพิมพ์หนังสือ พิมพ์หนังสือจําหน่าย และข้อ 25 คือ ประกอบ กิจการโฆษณาด้วยสื่อการโฆษณาทุกอย่าง เช่น โฆษณาในหนังสือพิมพ์ แผ่นป้ายโฆษณา สิ่งพิมพ์ ใบปลิว กระจายเสียงผ่านสื่อทางวิทยุ โทรทัศน์ โทรเลข เคเบิลทีวี โทรสาร การสื่อสารด้วยระบบดาวเทียม และสื่ออื่นใด
2. มีหลักฐานที่บริษัท วี-ลัค มีเดีย จํากัด ได้นําส่งงบการเงิน(แบบ ส.บช.3) ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยบริษัทมีรายได้จากการขายนิตยสาร และการให้บริการโฆษณา/รายได้อื่น ซึ่งถือเป็นการประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ โดยในขณะที่ยื่นคําร้องบริษัทยังไม่มีการจดทะเบียนเลิกบริษัท และจดทะเบียนเสร็จการชําระบัญชีแต่อย่างใด
3. บริษัทได้ส่งสําเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2551 ถึง พ.ศ. 2562 โดยปรากฏชื่อผู้ถูกร้องเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จํากัด จํานวน 675,000 หุ้น เลขหมายของหุ้น ตั้งแต่ 1350001 ถึง 2025000 ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558 โดยผู้ถูกร้องได้เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จํากัดเรื่อยมา จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562 บริษัท วี-ลัค มีเดีย จํากัด จึงนําส่งสําเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) เพื่อแสดงให้แก่บุคคลภายนอกได้รับทราบถึงการโอนหุ้นดังกล่าวข้างต้น
4. ไม่มีหลักฐานแจ้งเจ้าหน้าที่ยกเลิกเป็นผู้พิมพ์ผู้โฆษณา
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า มิได้แสดงหลักฐานใดให้เห็นว่า บริษัท วี-ลัค มีเดีย จํากัด ได้แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบ เพื่อยกเลิกเป็นผู้พิมพ์ผู้โฆษณา บรรณาธิการ หรือ เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ ตามพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 แม้ผู้ถูกร้องจะกล่าวอ้างว่าได้เลิกจ้างลูกจ้างทั้งหมด เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 แต่เมื่อบริษัทยังมิได้จดทะเบียนเลิกบริษัทและจดทะเบียนเสร็จการชําระบัญชี บริษัทก็สามารถจ้างลูกจ้าง เพื่อประกอบกิจการต่อไปได้ ผู้ร้องจึงเห็นว่าบริษัท วี-ลัค มีเดีย จํากัด เป็นกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ
5. กกต.ชี้ชัดว่า บริษัท วี-ลัค มีเดีย จํากัด ได้มีการจดแจ้งวัตถุประสงค์ตามหนังสือบริคณห์สนธิต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ว่าเป็นผู้ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนใดๆ ประกอบกับตามแบบนําส่งงบการเงิน (แบบ ส.บช.3) ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 (งบการเงินปี 2558) บริษัทมีรายได้จากการขายนิตยสารและการให้บริการโฆษณา/รายได้อื่นรวมทั้งแบบแสดงรายการเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของห้างหุ้นส่วนบริษัท ระบุว่าประกอบกิจการออกหนังสือพิมพ์ โรงพิมพ์ รับพิมพ์หนังสือพิมพ์หนังสือจําหน่าย จึงถือว่าเป็นการประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใดๆ ประกอบกับสําเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ปรากฏชื่อผู้ถูกร้อง เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว จํานวน 675,000 หุ้น เลขหมายของหุ้น ตั้งแต่ 1350001 ถึง 2025000 ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558 โดยผู้ถูกร้องได้เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562 ผู้ถูกร้องได้โอนหุ้นหมายเลขดังกล่าวข้างต้นทั้งหมดให้แก่ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ให้เป็นผู้รับโอนหุ้น ในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จํากัด แทนผู้ถูกร้อง รายละเอียดปรากฏตามสําเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ฉบับลงวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562 จึงมีหลักฐานอันควรเชื่อว่าผู้ถูกร้องยังคงเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จํากัด ในวันสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ
ดังนั้น ผู้ถูกร้องจึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 101 (6) ประกอบ มาตรา 98 (3)
นี่คือจุดตายของคดีหุ้นวี-ลัค อย่างแท้จริง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี