รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เสนอร่างกฎหมายงบประมาณเข้าสู่กระบวนการทางนิติบัญญัติแล้ว และได้เริ่มพิจารณาวาระ 1 เมื่อวันที่17 ตุลาคม 2562 และโดยกระบวนการปกติก็อาจผ่านเป็นกฎหมายใช้บังคับได้ในเดือนธันวาคม 2562 ซึ่งล่าช้ากว่าการเริ่มต้นปีงบประมาณ 2563 คือวันที่ 1 ตุลาคม 2562 มาก
เพราะโดยปกติตามปฏิทินงบประมาณนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องเสนอร่างกฎหมายงบประมาณต่อรัฐสภาในราวเดือนมิถุนายน และเมื่อใช้เวลาพิจารณาของรัฐสภาประมาณ 3 เดือน ก็สามารถประกาศใช้เป็นกฎหมายในเดือนกันยายน ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณของประเทศไทยต่อไป
และเป็นหลักทั่วไปในการบริหารงบประมาณแผ่นดินที่รัฐบาลจะต้องเร่งผลักดันการใช้งบประมาณในไตรมาสแรกของปีงบประมาณให้ได้จำนวนมากที่สุด เพื่อให้เกิดผลในการส่งเสริมพัฒนาและกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะเกิดผลต่อเนื่องไปตลอดสามไตรมาสที่เหลือ
ดังนั้นเมื่อการนำเสนองบประมาณล่าช้า จึงเป็นที่แน่นอนแล้วว่าในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลจะไม่สามารถใช้งบประมาณ 2563 ได้ ย่อมมีผลกระทบต่อการกระตุ้นและการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง จะทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงที่เป็นผลมาจากปีงบประมาณ 2562 หนักหน่วงยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายจึงพึงระมัดระวังให้จงหนัก
ในบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของร่างงบประมาณ 2563 รัฐบาลเองก็ยอมรับอย่างชัดเจนว่า “เศรษฐกิจไทยในปี 2562 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.7-3.2 ชะลอลงจากร้อยละ 4.1 ในต้นปี 2561” และคาดหมายว่า “เศรษฐกิจไทยในปี 2563 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 3-4 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการส่งออกตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก”
หมายความว่า ต้องพึ่งพาอาศัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจึงจะขยายตัวไปได้ 3-4% แต่ทว่าการคาดหมายเช่นว่านี้มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะสถานการณ์โลกปัจจุบันนี้ทุกสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจก็เห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้ามีความเสี่ยงสูงที่สุดที่จะชะลอตัวหรือลดการเติบโตครั้งใหญ่ที่สุดซึ่งทุกประเทศก็เตรียมตัวรับสถานการณ์เช่นนั้น
ดังนั้นการคาดการณ์ของรัฐบาลดังกล่าวซึ่งเป็นจุดหลักของหลักการงบประมาณ 2563 จึงน่าวิตกกังวลอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายนักหามีใครสนใจปมเงื่อนสำคัญตรงนี้ไม่ ดังนั้นทุกภาคส่วนจึงควรทบทวนใคร่ครวญในเรื่องนี้ จะได้ไม่พลาดพลั้งเสียทีในปีหน้า
ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติบังคับว่ารัฐบาลจะใช้จ่ายเงินแผ่นดินได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายงบประมาณ ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลไม่มีอำนาจใช้จ่ายเงินแผ่นดิน นอกจากที่ได้บัญญัติให้อำนาจไว้ในกฎหมายงบประมาณ
ในปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลได้ตั้งวงเงินงบประมาณซึ่งเป็นรายจ่ายประจำ ได้แก่ค่าเงินเดือนและอื่นๆ เป็นเงิน 2.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 0.11 ล้านล้านบาท หรือ 5.3% ทำให้รายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นเป็น 74.8% ของวงเงินงบประมาณ
และเนื่องจากในปีก่อนๆ รัฐบาลได้นำเงินคงคลังไปใช้จ่ายเกินจากเงินที่ได้มา จึงต้องตั้งงบประมาณชดใช้เงินคงคลัง ซึ่งในปี 2563 ได้ตั้งไว้เป็นวงเงิน 62,709 ล้านบาท เท่ากับ 1.9% ของวงเงินงบประมาณ ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนเงินไม่มากนัก
สำหรับงบลงทุนซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของการจัดสรรงบประมาณ ได้จัดตั้งไว้เป็นเงิน 655,805 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 แค่ 6,667 ล้านบาท หรือ 1% และงบประมาณในการลงทุนนี้ได้เหลือเพียงแค่ 20.5% ของวงเงินงบประมาณเท่านั้น ลดลงจากปีก่อนซึ่งมีจำนวนถึง 21.6% อันแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลได้เพิ่มภาระรายจ่ายประจำ โดยเฉพาะภาคเงินเดือนและค่าแรงให้แก่ประเทศชาติเพิ่มมากขึ้นจนมีวงเงินพัฒนาประเทศลดด้อยถอยลงจนเหลือเพียง 20.5% ของวงเงินงบประมาณเท่านั้น ซึ่งการลดลงในลักษณะนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อระบบงบประมาณของประเทศในกาลข้างหน้า
นอกจากรายจ่ายสามประเภทนั้นแล้ว ผลจากการก่อหนี้สินเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณชำระหนี้เป็นจำนวนถึง 89,170 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10,964 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 14% หรือเท่ากับ 2.8% ของวงเงินงบประมาณ
นั่นเป็นภาครายจ่ายโดยรวมในการจัดสรรงบประมาณปี 2563 ซึ่งรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 200,000 ล้านบาท หรือ 6.7%
เมื่อตั้งงบประมาณรายจ่าย 3.2 ล้านล้านบาทรัฐบาลก็ต้องตั้งประมาณการรายรับเป็นจำนวนเท่ากันคือ 3.2 ล้านล้านบาทด้วย และเป็นธรรมดาเมื่อตั้งรายจ่ายมากขึ้น ก็ต้องหารายได้มากขึ้นตามไปด้วย และรายได้ที่มากขึ้นเท่าใดก็ย่อมเป็นภาระของประชาชนและภาคธุรกิจทั้งปวง
รัฐบาลตั้งประมาณการรายรับจากภาษีอากรทุกประเภทรวมกัน 3.2 ล้านล้านบาท แต่ต้องหักประมาณการขอคืนภาษีของทุกหน่วยเก็บภาษี ก็จะมีรายได้จากภาษีอากรสุทธิเพียง 2.7 ล้านล้านบาท หรือ 85.3% ของรายรับทั้งหมด
นอกจากรายได้จากภาษีแล้ว รัฐบาลได้ตั้งประมาณการรายรับจากการขายสิ่งของและบริการ ได้แก่หลักทรัพย์และทรัพย์สินและบริการอื่น ๆ ของรัฐเป็นวงเงิน 40,515 ล้านบาท หรือ 1.3% และตั้งประมาณการรายได้จากรัฐพาณิชย์จำนวน 188,800 ล้านบาท หรือ 5.9% ของงบประมาณ โดยมีรายได้อื่น 38,767 ล้านบาท
ซึ่งยังคงขาดวงเงินที่จะต้องจ่ายอยู่อีก 469,000 ล้านบาท ดังนั้นจึงต้องกู้เงินเพิ่มในปี 2563 ตามจำนวนดังกล่าว ซึ่งเท่ากับ 14.7% นับเป็นการก่อหนี้ครั้งใหญ่อีกปีหนึ่งของประเทศ
เหล่านี้คือเค้าโครงสังเขปของงบประมาณ 2563 ที่ประชาชนทั่วประเทศซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงจะต้องทราบและเข้าใจ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี