“ความลำพอง” ที่แสดงออก หลังไม่เห็นชอบ พระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบกกองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562 คือ “จุดเปลี่ยน”ของสังคมที่มีต่อพรรคอนาคตใหม่ จากแรกทีเดียวที่มีทั้งคนถือสาและไม่ถือสากับ “บางท่าที” รอบนี้ เรื่องนี้ กลายเป็นเรื่อง “สะดุดใจ” ใครหลายคน
ชัดเจนที่สุด คือหนังสือลาออกจากกรรมการบริหารพรรคของ “นายนิรามาน สุไลมาน” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่(อนค.) ที่ได้ทำหนังสือจำนวน 2 หน้า แจ้งไปยังหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เรื่องขอลาออกจากกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2562 โดยเนื้อความในหนังสือดังกล่าวระบุว่า
“...ตามที่ที่ประชุมใหญ่ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ เมื่อ 27 พฤษภาคม 2561 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต
พี่น้องสมาชิกชาวอนาคตใหม่ ได้มีมติเลือกผมให้เป็นกรรมการบริหารพรรค (ตำแหน่งสัดส่วนที่ประชุมใหญ่) ซึ่งถือว่าเพื่อนสมาชิกได้ให้เกียรติเลือกผมเข้ามาเพื่อทำหน้าที่สำคัญทางการเมืองในนามพรรค ด้วยความเชื่อมั่นในแนวทางและอุดมการณ์ของพรรค
...ทั้งนี้ ก็เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนชาวไทย ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งตลอดมาผมได้ทุ่มเทการทำงานร่วมกับพี่น้องทุกคนในพรรคอย่างสุดกำลังความสามารถ เพื่อสานฝันของพรรคอนาคตใหม่ให้เป็นความจริง
...การประชุม สส. ในวันที่ 17 ตุลาคม 2562 มีวาระการลงมติร่าง “พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบกกองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562” นั้น ผมมีความเห็นต่างต่อเสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุม สส.อนค.จำนวน 69 คน (เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2562) ซึ่งมีมติคัดค้าน 2:1= 47 คน (ไม่รับ) และให้งดออกเสียง 21 คน ส่วนเลขาธิการฯซึ่งดำเนินการประชุมขอใช้สิทธิงดออกเสียง ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้เป็น “ประเด็นอ่อนไหว” ที่อาจส่งผลกระทบ (ที่รุนแรง) ต่อพรรคฯในอนาคตได้ จึงเลือกใช้แนวทางที่ผมเชื่อมั่นว่าดีที่สุดคือ “การงดออกเสียง” และแนวทางดังกล่าวก็สอดรับกับเสียงส่วนใหญ่ของการประชุมหารือของคณะกรรมการบริหารพรรคเมื่อค่ำวันที่ 8 ต.ค. 2562 และก็เป็น “ทางออก” ที่เลขาธิการพรรคได้เปิดช่องเอาไว้ หากสมาชิกท่านใดรู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายใจ
...ท้ายที่สุด ผลการลงมติของ สส. พรรคฯในประเด็นดังกล่าว ก็ผิดไปจากความเห็นส่วนใหญ่ของคณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องที่ผมไม่อาจจะยอมรับได้ และภายหลังที่ผมได้แสดงจุดยืนทางการเมือง คือ การเลือกปฏิบัติตามคำแนะนำที่จะไม่เข้าไปใช้สิทธิออกเสียงในประเด็นดังกล่าวนี้ ก็ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ซึ่งโดยสัญชาตญาณของนักสู้เพื่อความถูกต้องและเป็นธรรม ผมไม่เคยหวั่นไหวต่อความเห็นในทางลบใดๆเพราะเมื่อเราก้าวมาเป็นบุคคลสาธารณะแล้ว สังคมย่อมมีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์ได้
...แต่เมื่อมองผลกระทบที่อาจมีต่อพรรคอนาคตใหม่ซึ่งเป็นพรรคที่เป็นความหวังและความฝันสุดท้ายของประชาชน ผมเกรงว่าประเด็นของผม อาจเป็นชนวนแพร่ขยายความไม่เข้าใจระหว่างพี่น้องสมาชิกพรรคอนาคตใหม่มากขึ้น
...ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาภาพลักษณ์ของพรรคเรา ในฐานะกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคอนาคตใหม่ ผมจึงขอแสดงความรับผิดชอบลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค โดยให้มีผลนับตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2562 นี้ เป็นต้นไป เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานการทำงานต่อไป”
ด้าน น.ส.ศรีนวล บุญลือ ชี้แจงว่า ที่ตนงดออกเสียงในการโหวตพระราชกำหนดฉบับนี้ เนื่องจากในการประชุมพรรคที่ จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 6-8 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา ได้มีการพูดคุยกันว่าจะงดออกเสียง แต่การประชุมเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ตนไม่ได้เข้าเนื่องจากว่ามีญาติประสบอุบัติเหตุที่กรุงเทพฯ ตนจึงได้ดูแลญาติไม่ได้เข้าประชุมกับพรรค
กระทั่ง ตนได้ไปเข้าประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 17 ตุลาคม ซึ่งตนได้มีการพูดคุยกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก่อนแล้ว ซึ่งทางนายธนาธรไม่ได้ห้ามที่จะให้งดออกเสียง ซึ่งตนมองว่าการงดออกเสียงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ตนไม่ได้มีโอกาสได้ชี้แจงกับเพื่อนสมาชิกพรรคก่อน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าน้อยใจ กรณีนายปิยบุตรแสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ พูดในที่ประชุมวอร์รูมของพรรคว่า มีสส.งูเห่าสีส้มงดออกเสียง ตนขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นงูเห่าและไม่เคยขายเสียงให้ใคร ทุกวันนี้ตนทำเพื่อพรรคมาโดยตลอด ปกป้องพรรคมาโดยตลอด ถ้าถามว่าเสียความรู้สึกหรือไม่ก็มีบ้าง แต่อุดมการณ์ทางการเมืองของตนกับพรรคยังมีเหมือนเดิมยังทำงานกับพรรคอย่างเต็มที่เหมือนเดิม
“สำหรับการที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสส.งูเห่าสีส้ม พร้อมไปสาบานเลยว่าไม่เคยเป็นงูเห่า และยินดีให้พรรคตั้งคณะกรรมการสอบสวน แต่ขอยืนยันว่าในความบริสุทธิ์ ไม่ได้มีเจตนาโหวตสวนมติพรรค ต่อจากนี้จะต้องเผชิญอะไรก็พร้อม แต่ถึงอย่างไรก็จะทำงานให้พี่น้องประชาชนต่อไป ส่วนถ้าถูกขับออกจากพรรคหรือไม่นั้น ยังไม่อยากคิดตอนนี้เพราะต้องการทำงานกับพรรคไปให้นานที่สุด” น.ส.ศรีนวล กล่าว
ใครจะคิดว่า “สาวเหนือคนซื่อ” อย่างคุณศรีนวล จะถูกรุมกระหน่ำขับไล่ ต่อว่า ด่าทอ จากกองเชียร์พรรคอนาคตใหม่ในโลกออนไลน์อย่างหนักหน่วง มันสะท้อนให้เห็นว่า พวกเขาไม่ต้องการ “คนคิดต่าง” และพร้อมจะไล่กันเหมือนหมูเหมือนหมา กองเชียร์ของอนาคตใหม่มีปัญหาเรื่อง
“วุฒิภาวะ”
ใช่... ทุกคนได้รับการ “ชี้นำ” ว่านี่คือการปกป้องหลัก“นิติรัฐ” หลักการของสภา ที่จะไม่ยอมให้ใครเอากฎหมายมาเวียนผ่านได้ง่ายๆ ติดนิสัยเหมือนใช้ ม.44 ทว่าในความเป็นจริง กฎหมายหลายฉบับออกเป็นพระราชกำหนดได้ เช่นเดียวกับกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งเป็นกรณีผูกพันกับการออกพระราชบัญญัติข้าราชการในพระองค์ ซึ่งจะต้องโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณที่ค้างอยู่กับกลาโหม ให้ไปขึ้นตรงกับองค์พระประมุข
ในขณะที่ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ กำลังเข้าสู่การพิจารณาของสภา เรื่องนี้ก็ย่อมจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องถ่ายโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณโดยเร่งด่วน เพื่อให้ พ.ร.บ.งบประมาณ จัดสรรให้สอดรับกัน แต่ต่อให้ไม่รู้เหตุผลเลยว่าทำไมต้องออกเป็นพระราชกำหนดนั้น ก็สมควรที่จะถาม แทนการอภิปรายเพื่อ “หลอกด่า” ว่า พล.อ.ประยุทธ์
ติดนิสัยออกกฎหมายด่วน ข้ามขั้นตอน เพราะเคยชินต่อการมี ม.44 และมีสันดานที่ “ไม่แยแสรัฐธรรมนูญ” มิพักว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จะได้ลุกขึ้นอภิปรายว่า การถวายความปลอดภัยองค์พระประมุขเป็นเรื่องเร่งด่วนแน่นอน เพราะ
พระมหากษัตริย์คือความมั่นคงของแผ่นดิน โดยที่ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ก็มิได้อภิปรายว่า ไม่เข้าเงื่อนไขจำเป็น เร่งด่วน ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างไร เลือกที่จะเล่นเกมเอาเปรียบ ด้วยการถามว่ามันจำเป็น เร่งด่วน ไม่อาจหลีกเลี่ยงอย่างไรเท่านั้น
ที่สำคัญ ยังต้องประเมินต่อไปด้วยว่า หากปล่อยให้ผ่านมี“ความเสียหาย” พอคนอื่นๆ เขาชั่ง ตวง วัด น้ำหนักในเรื่องนี้ด้วย การออกเป็น “พระราชกำหนด” ก็มิได้เสียหายใดๆ อีก
การ “ต่อต้าน” จึงไม่ถูกมองว่าเป็นเรื่อง “ต้านตัวกฎหมาย” และถูกตีความ “ไกล” ไปกว่านั้น !!
ยิ่งได้เห็นคำประกาศของ ช่อ พรรณิการ์ วาณิช และหลายๆ คำของ “กองเชียร์” ในโลกออนไลน์ ยิ่งชัดเจนว่า การต้านพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวนั้น แท้จริงแล้วพวกเขา “ส่งสัญญาณ” อะไร
ครั้นมาถึงการโหวต พ.ร.บ.งบประมาณอีก นางสาวกวินนาถ ตาคีย์ สส.ชลบุรี เขต 7 ซึ่งเป็น สส.เพียงคนเดียวของพรรคที่โหวตสวนมติพรรคในการโหวตเห็นด้วยกับ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายพ.ศ.2563 และเป็น 1 ใน 4 คนที่โหวตสวนมติพรรค ในการโหวต พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังฯ ว่า ตนโดนโจมตีเยอะพอสมควร จึงไม่ออกมาพูดอะไร แต่วันนี้เห็นว่าหนักขึ้นเรื่อยๆ หากเราไม่พูดอะไร สิ่งที่เขากล่าวหาจะคิดว่าเป็นเรื่องจริงซะก่อน จึงต้องออกมาพูด
สำหรับเหตุผลที่โหวตสวนมติ พรรคเรื่อง พ.ร.บ.งบฯ นั้น ตนเป็น สส.เขต ที่มีปัญหาเชิงพื้นที่เยอะ ซึ่งเราเองก็ลงพื้นที่ตลอด เรามองว่า สิ่งที่เราเห็นด้วย เราไม่ได้เห็นด้วยกับทุกเรื่อง เราแค่รับหลักการเท่านั้น แต่ยังมีวาระ ที่สอง ที่สามอีก หากวาระที่เหลือไม่ดี เราก็ไม่โหวตให้ แต่เป็นการรับเพื่อเปิดทางให้ทีมงานในพื้นที่ทำงานต่อได้สะดวก
“ทุกท่านทราบว่าพรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคฝ่ายค้าน อยู่แล้ว แล้วมันผิดหรือ ที่เราทำอะไรที่ทำให้ทีมงานในพื้นที่ทำงานได้สะดวกและสามารถช่วยเหลือประชาชนได้มากขึ้น นี่เป็นเจตนาที่ดี แต่เรายังไม่มีโอกาสพูดอะไรเลย ซึ่งการที่ตนเห็นชอบนั้น ในอนาคตมันก็อาจจะผ่าน ซึ่งมันไม่ใช่ว่าไม่ดีซักอย่าง ส่วนที่มันไม่ดีเราก็ต้องไปแก้ไขกัน แต่นี่มันแค่วาระแรก แต่จะตัดสินว่าขัดอุดมการณ์พรรคนั้น ต้องไปวัดกันในการโหวตครั้งที่ 3 อย่างไรก็ตาม การโหวตว่างดออกเสียงกับรับ นั้นไม่ต่างกัน แต่การที่เราไปโหวตไม่รับ ประชาชนก็ถามว่า เราไม่อยากให้พื้นที่พัฒนาใช่หรือไม่” ตัวแทนพี่น้องประชาชนจาก เขต 7 ชลบุรี ระบุ
คนก็จำได้อีกว่า ตอน สส.ภูมิใจไทย โหวตสวนมติพรรค ท่าทีของฝ่ายพรรคอนาคตใหม่นั้น สรรเสริญเยินยอว่าเป็นความสวยงาม เป็นวีรบุรุษประชาธิปไตย ครั้นคนของตัวเองทำบ้าง กลายเป็น “ผู้ร้าย-คนเลว” อะไรคือ “ประชาธิปไตย” ของอนาคตใหม่กันแน่
วันนี้ ตัวตัดแต้มของอนาคตใหม่จึงอยู่ที่
1.ความเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการภายในพรรค
2.ปัญหาเลือกตั้งท้องถิ่นที่ทีมงานระดับจังหวัดถูกแทรกแซง/จัดฉาก
3.ท่าทีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ขณะนี้ พรรคอนาคตใหม่ ทำท่าว่าจะ “แตก”จากคนภายใน มิใช่ปัจจัยภายนอก
กระนั้นก็ตาม คนภายนอก ก็รอดูวัน “แตกสลาย” ของพรรคอนาคตใหม่อยู่เช่นเดียวกัน เพราะมี “กระบวนการเร่งเร้า” ให้พรรคอนาคตใหม่เป็นผู้ร้ายผสมโรงอยู่ด้วย
หากแกนนำพรรคอนาคตใหม่ไม่เพลาอาการมุทะลุ ก้าวร้าว และเผด็จการลงมา ก็น่าเสียดาย คนดีๆ ในพรรค
อนาคตใหม่อีกหลายคน ที่ควรจะได้เป็นกำลังในการขับเคลื่อนประเทศผ่านจุดยืนและการแสดงออกที่ “สร้างสรรค์”ของพวกเขา โดยไม่ถูกหักหาญหรือกลบลบจากแกนนำของพรรคอยู่เพียงกลุ่มเดียว!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี