ประชาชนชาวไทย มีปัญหาที่รอการแก้ไขจากทุกภาคส่วนในบ้านเมืองอยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะการแก้ไขและการวางรากฐานสู่การแก้ไขและพัฒนาจาก “รัฐบาล” ภายใต้การนำของ“พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี อยู่หลายเรื่องด้วยกัน
1.ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ที่ลุกลามบานปลายกลายไปเป็นปัญหาส่วนตัวของกันและกันมากขึ้น ขาดความประนีประนอม แถมถูกปลุกปั่นให้แยกจากกัน และโกรธเกรี้ยวชิงชังต่อกันมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือ “ระเบิดเวลา” ที่อันตรายและน่ากลัวที่สุด โดยมีเราทุกคน และ “แกนนำ” ของทุกกลุ่มช่วยกันตำดินระเบิดและกรอกใส่หู ใส่หัวประชาชนอยู่ทุกวี่ทุกวัน นับวันเราไม่ได้บอกให้ประชาชน “รักกัน” หรือ “มีเหตุผลต่อกัน” แต่เราทำให้คนชี้นิ้วชี้หน้าด่าทอกัน ว่า “มึงนั่นแหละ ไอ้พวกชั่ว” ชิงกันเป็น “คนดี” โดยมีอีกฝ่ายเป็น “ศัตรู” เป็น “คนชั่ว” เป็นคนที่ไม่ควรอยู่บนแผ่นดินนี้ หรือพวก “หนักแผ่นดิน” นั่นเอง
2.ปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคือง เป็นปัญหาเศรษฐกิจระดับพื้นฐานทั่วไปในหมู่ประชาชนทั่วไป ที่พบเจอกันถ้วนหน้า เจอกันทั่ว เจอกันง่าย ยิ่งกว่าลงทะเบียนชิม ช้อป ใช้ หลายขุม เศรษฐกิจที่ว่านี้ คือสภาพเงินไม่คล่องมือ หารายได้ยากขึ้น ชนิดที่รายได้อาจไม่พอต่อรายจ่าย นำมาสู่ภาวะ “เป็นหนี้” และกลายเป็นหนี้ที่ “พอกพูน” เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลา ทั้งหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ การปล่อยให้ประชาชนอยู่ในวงจรของ “ความยากจน” นานเกินไป สะสมหนี้ไว้เรื่อยๆ นำไปสู่การสูญเสียทรัพย์สินที่สำคัญอื่นๆ นั่นคือ บ้านถูกยึด สูญเสียที่ดินทำกิน และมีความเครียดมาก และตกทอดมาสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน ชนิดที่ว่าเรียนยังไม่ทันจบ ยังไม่มีทักษะความรู้ที่จะประกอบอาชีพด้วยตัวเอง ก็มี “หนี้รอการชำระ” ยิ้มหวานคอยอยู่เรียบร้อยแล้ว
3.ปัญหาการปรับทักษะผู้คนให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยี โลกเปลี่ยนเร็วมาก เทคโนโลยีก็เช่นเดียวกัน ขณะที่มนุษย์ไม่มีทักษะที่จะปรับตัว พ่อค้าแม่ขาย เกษตรกร หรือพูดง่ายๆ ว่าประชากรส่วนใหญ่ของเรา ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เคยทำมาหากินอย่างไรก็ทำอยู่อย่างนั้น ขาดความรู้ (และขาดนิสัยที่จะแสวงหาความรู้) เคยทำนาก็ทำนา ทำอย่างเดิมด้วย มีสวนยาง-สวนปาล์ม ก็หวังว่ายาง-ปาล์ม จะเลี้ยงครอบครัวได้ เคยปลูกมันสำปะหลัง ข้าวโพด ถึงเวลาก็ปลูกอย่างเดิม ไม่มีความรู้ว่าตลาดเป็นอย่างไร เคยใช้สารเคมีกำจัดแมลง-ศัตรูพืช ก็จะใช้เรื่อยไปอยู่อย่างนั้น จดจำทุกอย่างเป็น “สูตรสำเร็จ” ที่นับวันก็ไม่ค่อยจะสำเร็จ เพราะในที่สุด ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ผลผลิตหลายอย่างขาดความต้องการจากตลาด จึงได้แต่เรียกร้องให้รัฐประกันราคา ประกันรายได้ ชดเชยเยียวยา ราวกับว่า ปลูกๆ ไปก่อน ขายไม่ได้ก็ไปเอาเงินจากรัฐ รัฐไม่ช่วยก็ไม่ได้ เพราะนี่คือประชาชน
4.เป็นแผ่นดินแห่งการ “บริโภค” มิใช่ผู้ผลิต โดยเฉพาะผลิตสินค้าและบริการ “ราคาแพง” เช่น ปลูกข้าวปลูกมันสำปะหลัง ข้าวโพด ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว ลำไย มังคุด ลองกอง ฯลฯ ที่ “ผลผลิตต่อไร่” ได้ปริมาณเท่าไหร่ และ“ได้ราคา” เท่าไหร่ เมื่อต้องมาซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นต่างๆ รถจักรยานยนต์ รถกระบะ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือต้องขายแรงงานเดือนละเท่าไหร่ เพื่อผ่อนบ้าน ผ่อนคอนโดมิเนียม ผ่อนรถยนต์ และภาษีสังคมอื่นๆ เงินรายได้ของประชาชน ส่งออกไปนอกประเทศปีละเท่าไหร่ ในเมื่อเราผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ แต่เราต้องซื้อรถยนต์ที่ประกอบแล้วซึ่งราคาสูงมาก ประเทศเราผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรได้บ้าง เมื่อเทียบกับการบริโภค จะพบว่าการผลิตกับการบริโภคมันไม่สมดุลกัน และขาดวินัยหรือนิสัยในการออม
5.ปัญหาการศึกษา ที่หลักสูตรไม่ได้เน้นการ “สร้างทักษะ” ที่จำเป็นต่อการ “เลี้ยงชีพ” และ “เผชิญกับปัญหาและโอกาสในชีวิต” เป็นการจัดการศึกษาที่ผลลัพธ์อยู่ในสภาพ “ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด” รู้แบบงูๆ ปลาๆ ปริญญาเต็มฝาบ้าน ดอกเตอร์เกลื่อนเมือง เราให้ความรู้ที่ยังห่างไกลการสร้าง “มืออาชีพ” สร้างอัจฉริยะตามทักษะพิเศษในคนแต่ละคนที่ต้อง “ค้นพบตัวเอง” เรามีบัณฑิตประเภทที่จนจะรับปริญญาอยู่แล้ว ยังไม่รู้ว่าตัวเองเรียนคณะนี้ทำไม เรียนแล้วจะไปทำอะไร ทำงานเป็นหรือไม่ ทักษะอาชีพก็ย่ำแย่ ทักษะชีวิตยิ่งไม่มี ใช้ชีวิตอย่างขาดทักษะ ไหลไปกับเพื่อนฝูงและสังคม โดยไม่มี “หลักคิด” หนังสือไม่อ่าน ความรู้ไม่หา ประคองชีวิตไม่ได้ เจอปัญหาแล้วไม่ทนต้องการความสำเร็จในชั่วข้ามคืน รักสุข เกลียดทุกข์ คิดว่าชีวิตจะสวยงามแบบ “ไอดอล” ทั้งหลาย โดยไม่ศึกษา “ความยาก”ที่เขาเหล่านั้นผ่านพ้นมา มองแต่ช่วงเวลาของการขึ้นแท่นรับเหรียญทอง ขาดกำลังใจ ขาดความมุ่งมั่น ขาดภูมิคุ้มกันทางความรู้สึก จนเป็นสาวกของ “โค้ช” คนนั้น “ครู” คนนี้ ในสังคมที่ต้องมี “พี่อ้อย-พี่ฉอด” เป็นที่พึ่งทางใจ บริโภคคำคม แต่ไม่อ่าน “กลั่น” มันเป็น “กระบวนทรรศน์” ได้ จึงมีหนังสือฮาวทูกองพะเนินเทินทึกอยู่ที่บ้าน ฟังนักโค้ชชิ่งกันจนหูแทบดับ อิ่มเอมกับถ้อยคำที่ได้อ่านได้ฟัง แต่ประมวลเป็น “สิ่งที่ต้องคิด ทำ”ในชีวิตไม่ได้ เป็นคนที่พร้อมจะตาย จะป่วย หากผิดหวังเศร้า เจ็บปวด ไม่รักชีวิต ไม่หวงแหนโอกาสในการมีชีวิต ปวกเปียกอ่อนแอ เพราะพ่อแม่ไม่เคยให้ “ลำบาก” บ้าง เพื่อสร้าง “ทักษะชีวิต”
6.ปัญหาสิ่งแวดล้อม รักธรรมชาติ แต่เบียดเบียนธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา ต้องไปเที่ยววัด เที่ยวรีสอร์ท ที่ไปสร้างอยู่บนเขา กินก๋วยเตี๋ยว กินกาแฟ กินอาหาร ในร้านที่ยื่นเข้าไปในลำธาร ในแม่น้ำ ในทะเล อยากได้อากาศดีๆ แต่ชอบ “เผา” ชอบ “ตัดต้นไม้” ไม่ชอบปลูก รักความสะอาดแต่ชอบทิ้งขยะ โดยไม่มีระเบียบวินัย
7.สื่อสารมวลชน โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ ล่มสลายทางจริยธรรม ข่าวกลายเป็นสินค้า สื่อสารมวลชนเป็นกิจการที่ต้อง “ลงทุน” และ “มีกำไร” อยู่ในสมการของการแสวงหา “การอยู่รอด”ก่อน “จริยธรรม” และ “ความรอบคอบ” เน้น “อารมณ์” มากกว่า“เหตุผล” มุ่งสร้าง “อารมณ์ร่วม” ในทุกหมวดหมู่ข่าว แทนการเป็นเครื่องมือให้ข้อเท็จจริง ให้ความรู้ความเข้าใจ ให้ “หลักคิด”กลับเร้นการปลุกเร้า เป็นเครื่องมือของการปลุกเร้า โดยเฉพาะในทางการเมือง สื่อกระแสหลักอ่อนแอ ไม่อาจต้านทานสื่อสังคมออนไลน์ที่สะดวก รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ และไร้รูปแบบ ไร้ขีดจำกัดได้ แต่สื่อออนไลน์ ที่ใครก็เป็นคนเสนอข้อมูลได้ มันไม่ถูกกำหนดด้วย “จรรยาบรรณ” หรือ “จริยธรรม” ยิ่งสามารถใช้ชื่อสมมุติ นามแฝง เพจอวตารได้ ด้านมืดของคนยิ่งถูกขับเน้นออกมา คนบริโภคภาพความรุนแรงได้ สนุกกับคำหยาบคายเมามันกับอารมณ์เกรี้ยวกราด จนกลายเป็นคนหยาบ ถ่อย ขี้โมโหขุ่นเคืองใจไปเสียทุกอย่าง เห็นเพื่อนมนุษย์เป็นศัตรู ในนามของ “คนดี”อย่างกรณีด่ากราด ด่าเหมารวมทั้งครอบครัว “แว่นหัวร้อน”หรือกรณีมีรสนิยมทางการเมืองไม่เหมือนกัน ก็ดูหมิ่นกัน แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อกันหมิ่นประมาทกัน จนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา-ทำได้
8.ปัญหาสุขภาพและสังคมสูงวัย คนไทยขาดความรู้ในการดูแลสุขภาพ เพราะในชั้นเรียนไม่เน้น ไม่รู้จักพัฒนาการของร่างกาย ความต้องการของร่างกาย อาหารและโภชนาการที่จำเป็น ทำกับข้าวก็ไม่เป็น เน้นการซื้อที่เร่งด่วน กินแล้วก็นั่งเฝ้าหน้าจอ ไม่ขยับเนื้อขยับตัว ขาดการออกกำลังกาย เป็นทาสอาหารเสริม เพราะหลงเชื่อการโฆษณา ไม่เน้นป้องกัน เน้นการรักษา ขอให้ได้รู้เถอะว่า ร้านไหนอร่อย ดั้นด้นไปกินจนได้ อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารแช่แข็ง กลายเป็น “ที่พึ่ง” ได้รับเกลือล้นเกิน น้ำตาลล้นเกิน แป้งล้นเกิน ไขมันล้นเกิน และสารปรุงแต่งอาหารอีกมากมาย เริ่มป่วยด้วยโรคเรื้อรังกันตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ ป่วยแล้วก็ไม่มีความรู้ที่จะดูแลตัวเอง ชอบกินอาหารเสริมแทนพบแพทย์และรับยามารับประทาน เพราะเชื่อตามการโฆษณาอาหารเสริม ที่มักทำผิด โดยโฆษณาสรรพคุณชนิดที่ยาจริงๆ ต้อง “อาย” เพราะโฆษณาไม่ได้อย่างนี้ ขณะที่ภาครัฐก็ขาดยุทธศาสตร์ในเชิงป้องกัน หรือพัฒนาการศึกษาด้านสุขภาพ อาหารและโภชนาการ เน้นการรักษาพยาบาล จนเกิดภาระที่รัฐต้องแบกรับไว้อย่างมากมายมหาศาล และขาดการสร้างความตระหนักต่อสังคมสูงวัยที่กำลังคืบคลานเข้ามา เปลี่ยนโครงสร้างและสภาของสังคมไทยอย่างขนานใหญ่ในไม่ช้า
9.ปัญหานักการเมืองด้อยคุณภาพ นักการเมืองส่วนหนึ่งขาดความรู้ ได้เป็นเพราะความกว้างขวาง ฐานะ และสายสัมพันธ์ สภาและรัฐบาล จึงมีเศรษฐี หัวหน้ามุ้งในพรรค ผู้มีอิทธิพลทางการเมือง เป็นรัฐมนตรีมากกว่าคนที่มี “ความรู้จริง” แต่เขาเหล่านี้แหละ ที่จะต้องพิจารณาการใช้งบประมาณแผ่นดิน วางแผนยุทธศาสตร์ชาติ ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เป็นรัฐมนตรี กำกับหน่วยงานราชการ เป็นผู้มีอิทธิพลต่อความคิดของประชาชน กำหนดทิศทางและอนาคตของประเทศ กำหนดแผนการพัฒนา ฯลฯ
“แผ่นดินของเรา” จึงมีปัญหามากกว่ามุมเรื่อง “ความมั่นคง” ซึ่งเน้นความมั่นคงแห่งรัฐ กองทัพ และสถาบัน มากกว่ามุ่งส่งเสริม สร้าง “ความมั่นคงของมนุษย์” สร้างมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ สร้างสังคมมนุษย์ ที่รู้จักจะอยู่กับความแตกต่างหลากหลายให้ได้ ไม่ใช่มีให้เลือกแค่ฝ่ายประชาธิปไตยกับเผด็จการ จะเลือกทหารและสถาบัน หรือเลือกคอมมิวนิสต์ฝันค้าง ที่ถูกกำหนด บังคับ เร่งเร้าว่าจะ “ต้องเลือก” อยู่ตลอดเวลา
เราต้องปกป้องกองทัพ เพราะกองทัพเป็นฝ่ายความมั่นคงอย่างนั้นใช่ไหมครับ กองทัพจัดซื้ออะไร ไม่ต้องอธิบาย ชี้แจง สร้างความเข้าใจต่อสังคมใช่ไหมครับ
เรารู้ว่าคอมมิวนิสต์คุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์ของเรา เพื่อทำลาย “ศูนย์รวมใจ” แล้วจะได้ดำเนินการ“แบ่งแยก” เพื่อจะ “ปกครอง” แล้วหาประโยชน์ หาชัยชนะ หามวลชนเพิ่ม บนความแตกแยกไร้ศูนย์รวมใจนั้น
แต่เราชนะคอมมิวนิสต์มาได้ เพราะฝ่ายความมั่นคงที่เข้มแข็ง คอมมิวนิสต์ที่อ่อนแอ เหลื่อมล้ำ กับการที่เราโชคดีมีพระมหากษัตริย์ทรงรอบรู้ ที่ทรงเสียสละ ทุ่มเท จนชนะใจอาณาประชาราษฎร ถึงขั้น “ยอมตายแทนได้” จากใจจริงๆใช่ไหมครับ
ดังนั้น ในวันนี้ เราต้องดูทุกองคาพยพของสังคมกันอย่างจริงๆ และสร้าง “คุณภาพที่มีอยู่จริง” ให้แก่ทุกองคาพยพไม่ว่าจะเป็นประชาชน สื่อสารมวลชน รัฐบาล ทหาร ฯลฯใช่ไหมครับ
หากสื่อยังเป็นอย่างที่เป็น ยังเน้นความขัดแย้ง การเมืองก็หาประโยชน์บนความขัดแย้ง ฝ่ายความมั่นคงก็อาศัยความขัดแย้ง ความโกรธเกลียดของประชาชนมาล้อมรั้วให้ตัวเองมันก็ไม่น่าจะถูกต้องและสมควรจะต้องพัฒนาและยกระดับขึ้นใช่ไหมครับ
โดยสรุป “แผ่นดินของเรา” มีปัญหาในทุกๆ ด้าน แต่ก็อย่าได้ท้อแท้ท้อถอย เพราะนี่เป็นเรื่องปกติของทุกๆ ประเทศ ที่หากระดมปัญหาเอามากองดูกัน มันก็มีไม่มากไม่น้อยไปกว่ากันสักเท่าไรหรอก
แต่เอาประเทศของเราก่อน จะค่อยๆ จัดการกับปัญหาทั้งหลายนี้อย่างไร
จะสร้าง “พลังร่วม” เพื่อ “รบกับปัญหา” ไม่ใช่“รบกันเอง” ไม่เลิกไม่รา อย่างไร
ทำอย่างไรไม่ให้การเมืองมันเละเทะ นึกจะเขียนกติกาเพื่อเอื้อให้ใครก็ทำได้ เลือกพวกพ้องมาเป็นเกราะคุ้มกันตัวเอง เขียนกฎหมายล็อกไว้ให้แก้ไขกติกาที่ไม่เป็นธรรมได้ยากลำบากต่างฝ่ายต่างก็สร้างปีศาจขึ้นมาหลอกหลอนคน แบ่งแยกคนเพื่อจะเอาไปเป็นกองหนุนในฝั่งของตัวเอง อีกพวกก็ฉวยใช้สภาพการณ์นี้ปลุกเร้าเพื่อหวัง “เปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง”ในทันที
“แผ่นดินของเรา” จึงต้องการความร่วมมือร่วมใจจากทุกคน ต้องการ “ความรู้” จากทุกคน ต้องการ “ผู้นำ” ที่มีสติปัญญา มีวิสัยทัศน์ มีภาวะผู้นำ มีวุฒิภาวะ และเห็นประชาชนเป็นประชาชน แม้ในประชาชนที่เห็นต่าง
ต้องการประชาชนที่พร้อมจะร่วมไม้ร่วมมือ มากกว่าเอาแต่เรียกร้อง พร่ำบ่นก่นด่า พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงและพัฒนา มากกว่าโทษทุกอย่าง โดยเฉพาะโทษว่ารัฐไม่เหลียวแล
เอาภาวะ “สงคราม” ออกจากใจคน ศัตรูที่รุมเร้าจ้องแต่จะทำร้ายเรา คือ ปัญหาสารพัดที่ว่ามา ซึ่งมันไม่เลือกว่า เราอยู่ขั้วไหน ข้างไหน มันโจมตีเราหมด
สิ่งเหล่านี้ต่างหาก ที่เป็น “ภัย” ที่แท้จริง บน “แผ่นดิน...ของเรา” !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี