อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีความผันผวน มีขึ้นมีลง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีคนได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ส่วนใครได้หรือเสียก็ต้องดูเป็นกรณีๆ ไป คนที่ได้ประโยชน์ก็จะไม่บ่นไม่โวยวายกับเรื่องนี้ ส่วนคนที่เสียประโยชน์ก็ต้องบ่นต้องโวยวายอย่างแน่นอน
ลองถามตัวคุณเองก็ได้ว่า เมื่อค่าเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ที่อัตรา 1 ดอลลาร์ฯ ต่อ 30 บาท คุณได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ แต่เมื่อถามตัวคุณแล้ว
คุณก็ต้องถามคนอื่นๆ ด้วยว่าได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์
คุณคงยังจำได้ว่าในยุคที่เมืองไทยประสบวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ มีสภาพเช่นไร แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าในยุคนั้นมีคนไทยจำนวนมากเสียประโยชน์จนสิ้นเนื้อประดาตัว แล้วก็ต้องยอมรับว่ามีคนไทยบางกลุ่มได้ผลประโยชน์มากมายมหาศาล ทำให้แปรสภาพจากเศรษฐีเป็นมหาเศรษฐีไปภายในพริบตา
วันหนึ่งเมื่อค่าเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ อยู่ที่อัตรา 50 บาทต่อดอลลาร์ฯ แต่เมื่อมาถึงยุคนี้เงิน 30 บาท แลกได้ 1 ดอลลาร์ฯ ก็ต้องถามคุณเหมือนเดิมว่าคุณได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์จากกรณีนี้
เมื่อค่าเงินบาทแข็งหมายความว่าคุณจ่ายเงินเพียง30 บาท คุณได้ 1 ดอลลาร์ฯ ตัวอย่างเช่น คุณจ่ายเงิน30 บาท ซื้อเสื้อจากสหรัฐฯ ได้ 1 ตัว (ยกตัวอย่างนะครับ) เทียบกับยุคที่ค่าเงินบาทอ่อน คุณต้องจ่ายเงิน 50 บาท เพื่อแลกกับ 1 ดอลลาร์ฯ แสดงว่าคุณได้ประโยชน์ เพราะคุณประหยัดเงินบาทได้ 20 บาท ส่วนฝรั่งที่ขายเสื้อให้คุณก็อาจจะได้ประโยชน์ด้วย เพราะเขาสามารถขายของได้มากขึ้นเพราะคุณเห็นว่าเสื้อมีราคาถูก ก็จึงซื้อเสื้อหลายตัว แต่ในอีกมุมหนึ่งประเทศไทยก็จะกลายเป็นเสียดุลการค้าให้ต่างประเทศมากขึ้น เพราะคนไทยซื้อสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น
แต่อีกมุมหนึ่ง หากคุณเป็นผู้ส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ คุณก็ต้องประสบปัญหาได้เงินน้อยลง ตัวอย่างเช่น ในยุคที่ค่าเงินบาทอ่อน คุณส่งเสื้อออกไปที่ตลาดสหรัฐฯคุณได้เงินบาท 50 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ฯ แต่ตอนนี้คุณได้เงินบาทเพียง 30 บาทต่อดอลลาร์ฯ เพราะฉะนั้นเมื่อเงินบาทแข็งค่า คุณในฐานะผู้ส่งออกก็ย่อมไม่ชอบใจอย่างแน่นอน เพราะได้เงินน้อยลง แต่หากจะมองอีกมุมหนึ่งคุณก็อาจจะส่งออกสินค้าได้มากขึ้น หากฝรั่งเขาเห็นว่าสินค้าคุณมีคุณภาพดี แต่ราคาถูก
เพราะฉะนั้น เมื่อเงินบาทแข็งก็ย่อมมีคนบางกลุ่มได้ประโยชน์ แล้วก็ต้องมีคนบางกลุ่มเสียผลประโยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของสังคม แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเมื่อดูโดยภาพรวมแล้วมีผู้ได้หรือเสียประโยชน์มากกว่ากัน แล้วทำอย่างไรผู้มีอำนาจรัฐ และผู้มีอำนาจดูแลค่าเงินบาทของไทยจะจัดการเรื่องนี้ให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสาธารณะ เพราะไม่มีวันที่จะทำให้คนทั้งประเทศได้ผลประโยชน์หรือเสียประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราได้เท่าเทียมหรือเสมอหน้ากันอย่างแน่นอน
ทีนี้ประเด็นสำคัญก็อยู่ที่ตัวของคุณๆ เอง เพราะคุณต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าคุณได้หรือเสียประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา แล้วก็ต้องคิดต่อไปด้วยว่าประโยชน์ที่แต่ละคนได้นั้นตกอยู่กับส่วนรวมหรือไม่ บางคนอาจจะสนุกกับการที่ค่าเงินบาทแข็ง เพราะจ่ายเงินบาทน้อย แต่ได้สินค้าจากต่างประเทศจำนวนมากขึ้น หรือไปเที่ยวต่างประเทศได้นานวันขึ้น แต่จ่ายเงินบาทน้อยลง แต่ก็ต้องไม่ลืมด้วยว่าคนที่เขาส่งสินค้าออกไปขายต่างประเทศ เขาคงไม่ยินดีกับการที่เขาขายสินค้าแล้วแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์ฯ เป็นเงินบาทได้น้อยลง
ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรามีสองทิศทางเสมอ ทางหนึ่งเมื่อมีคนได้ อีกทางหนึ่งก็ต้องมีคนเสียปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเราจะร่วมเฉลี่ยอัตราการได้เสียให้อยู่ในสภาวะสมดุลอย่างไร เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นแค่ปัญหาของรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยเท่านั้น แต่อยู่ที่คนไทยทุกคนด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี