ดูท่าว่า เงื่อนปมเรื่องเงินๆ ทองๆ จะกลายเป็น “จุดตาย” ของพรรคอนาคตใหม่เสียแล้ว
แล้ว “พ่อฟ้า” ไม่ต้องไปฟูมฟายโทษใครที่ไหน เพราะตัวหัวหน้าพรรคเอง โฆษกพรรคเอง และบรรดาชนชั้นสูงในพรรคเอง ทำกันเองทั้งนั้น ไม่มีใครไปบังคับให้บริหารจัดการเงินของพรรคการเมืองแบบที่เป็นประเด็นอยู่นี้เลย
1.ปัญหาเงินขาเข้าพรรค คือ เงินบริจาค และเงินกู้
เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบกรณีการบริจาคเงินเข้าพรรคอนาคตใหม่
กรณีของ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษก และกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 1 ล้านบาท เมื่อเดือนพ.ย. 2561 เนื่องจากเห็นว่าในการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) น.ส.พรรณิการ์ มีทรัพย์สินไม่มาก มีเงินฝาก 9 หมื่นบาท และแจ้งสรรพากรว่ามีรายได้ตลอดทั้งปี 2561 แค่ 8 แสนกว่าบาท ดังนั้น การที่ผู้มีทรัพย์สินหนี้สินเล็กน้อยแค่นี้กลับมีเงินไปบริจาคให้พรรคถึง 1 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องต้องสงสัย และมีข้อน่าสังเกตว่า เงินบริจาคดังกล่าวอาจไม่ใช่เงินส่วนตัว แต่เป็นเงินที่ได้มาจากผู้อื่น หรือได้มาโดยวิธีการอื่น จึงขอให้ กกต.ดำเนินการสืบสวน หรือส่งเรื่องไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อดำเนินการสืบสวนทางการเงินดังกล่าวได้มาด้วยวิธีการใด เสียภาษีถูกต้องตามกฎหมายกำหนดหรือไม่
กรณีของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่บริจาคเข้าพรรคช่วงเดือนต.ค.2561-ม.ค. 2562 จำนวน 10 ล้านบาทและ นางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยานายธนาธร บริจาค 7.2 ล้านบาท เนื่องจากบุคคลทั้งสองเป็นที่รับรู้กันในทางกฎหมายว่าเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย เปรียบเสมือนเป็นบุคคลคนเดียวกัน ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในการทำนิติกรรมสัญญาที่มีผลผูกพันตามสัญญา จะต้องได้รับการยินยอมจากสามีหรือภรรยาเสียก่อน ดังนั้น การบริจาคเงินของบุคคลทั้งสองน่าจะถือว่าเป็นการบริจาคของบุคคลคนเดียวกัน แต่จะใช่หรือไม่เป็นข้อสงสัยที่ กกต.ควรมีคำตอบ หากถือว่าเป็นบุคคลเดียวกัน การกระทำดังกล่าวก็จะถือว่าขัดต่อพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 66 ที่กำหนดให้บุคคลสามารถบริจาคเงินให้กับพรรคการเมืองได้ไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อปี และอาจเป็นเหตุให้นำไปสู่การยุบพรรคการเมืองที่รับบริจาคนั้นได้
“กรณีนี้เป็นประเด็นสำคัญที่อยากให้ กกต.วินิจฉัยให้ชัดเจนว่าเป็นไปตามคำร้องหรือไม่ ถ้าไม่ได้เป็นไปตามคำร้อง บุคคลที่เป็นสามี ภรรยา หรือเครือญาตินามสกุลเดียวกันสามารถแยกบริจาคเงินให้กับพรรคการเมืองได้คนละไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อปีใช่หรือไม่” นายศรีสุวรรณกล่าว
2. ปัญหาเงินขาออกของพรรค ในส่วนของเงินใช้หนี้นายธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ
กรณีหลังนี้ ชัดเจน โจ่งแจ้ง แดงแจ๋ และแทบไม่ต้องสืบสวนข้อเท็จจริงอะไรเพิ่มเติมแล้ว เกือบๆ จะวินิจฉัยข้อกฎหมายได้เลยทีเดียวว่าเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่?
ดูเหมือนผู้บริหารพรรคอนาคตใหม่จะลืม หรือแกล้งลืม หรืออยากจะให้ทุกคนลืมๆ ไปให้หมด จึงไม่มีคำอธิบายชี้แจง/แก้ตัวในรายละเอียดอะไรเลยสำหรับเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ โฉ่งฉ่างที่สุดแล้ว
นั่นก็คือกรณีพรรคอนาคตใหม่ เอาเงินของพรรคอนาคตไปใช้หนี้เงินกู้นอกระบบแก่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค (พร้อมดอกเบี้ย) สามารถทำได้ตามกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่? กฎหมายข้อไหนอนุญาต? และหากเข้าข่ายความผิดจะมีโทษสถานใดบ้าง? แก่ใครบ้าง?
ข้อเท็จจริงที่ว่าประจักษ์ชัด คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้แจ้งในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. ระบุรายการเงินให้กู้ยืมแก่พรรคอนาคตใหม่ 2 รายการ และหมายเหตุว่า “พรรคอนาคตใหม่ได้ดำเนินการชำระหนี้บางส่วนแก่นายธนาธรแล้ว...” (ดังปรากฏในภาพ)
ท่านอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา “ชูชาติ ศรีแสง” เคยโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ค Chuchart Srisaeng ให้ข้อคิดเห็นทางกฎหมายไว้อย่างแหลมคมและชัดเจนว่า
“.....นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวในเรื่อง “เงินกู้ยุบพรรคอนาคตใหม่ ใช่หรือมั่ว ชัวร์หรือไม่” ตอนหนึ่งว่า พรรคอนาคตใหม่ได้ใช้เงินที่กู้ยืมนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้นายธนาธรแล้วบางส่วน
.....พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐
.....มาตรา ๘๗ วรรคหนึ่งบัญญัติว่า เงินและทรัพย์สินของพรรคการเมืองต้องนําไปใช้จ่ายเพื่อดําเนินกิจกรรม ทางการเมืองของพรรคการเมือง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งของพรรคการเมืองและสมาชิก และค่าใช้จ่ายในการบริหารพรรคการเมือง
.....มาตรา ๑๓๒ หัวหน้าพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรคการเมือง และเหรัญญิก พรรคการเมืองผู้ใดนําหรือยินยอมให้บุคคลอื่นนําเงินหรือทรัพย์สินของพรรคการเมืองไปใช้จ่าย เพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือบุคคลอื่น หรือนําไปใช้เพื่อการอื่นใด อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๘๗ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่ง
แสนบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
.....เงินและทรัพย์สินของพรรคการเมืองต้องนำไปใช้จ่ายในเรื่องต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๘๗ วรรคหนึ่ง คือ ๑.เพื่อดําเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคการเมือง ๒.ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งของพรรคการเมืองและสมาชิก และ ๓.ค่าใช้จ่ายในการบริหารพรรคการเมือง
.....การนำไปชำระหนี้เงินกู้ให้แก่นายธนาธรไม่สามารถกระทำได้ เพราะไม่ได้ระบุไว้ในมาตรานี้
.....การนำเงินของพรรคอนาคตใหม่ไปชำระหนี้ให้แก่นายธนาธรจึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา ๘๗ วรรคหนึ่ง ดังนั้น หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
รวมทั้งกรรมการบริหารที่ตกลงยินยอมให้นำเงินของพรรคไปชำระหนี้เงินกู้ให้แก่นายธนาธรจึงมีความผิดตามมาตรา ๑๓๒ ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ ๕ ปี ถึง ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
.....ถ้านายธนาธรและกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ถูกดำเนินคดี
ในความผิดตามมาตรา ๑๓๒ และถูกลงโทษ พรรคอนาคตใหม่ไม่ต้องกล่าวว่าถูกใครบุคคลใดกลั่นแกล้ง เพราะนายปิยบุตรเป็นผู้นำมาเปิดเผยด้วยตนเอง”
น่าสนใจว่า กรณีนี้ มีการสอบสวนไปถึงไหน อย่างไรแล้ว เพราะปมของเรื่องชัดเจน ประเด็นข้อกฎหมายแจ่มแจ้ง และข้อเท็จจริงในการกระทำของพรรคอนาคตใหม่ก็โฉ่งฉ่างมาก
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี