ในวงเสวนา เรื่อง “จากรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปี 2562 สู่การใช้นวัตกรรมทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในประเทศไทย”เมื่อเร็วๆนี้ ที่ห้องประชุมสมานสโมสร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งทางกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นเจ้าภาพมีประเด็นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร กสศ. กล่าวปาฐกถา เรื่อง “นวัตกรรมในการจัดทำ
นโยบายเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาบทเรียนจากรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี พ.ศ. 2562” โดยระบุว่า จากการที่ทางราชสถาบันวิทยาศาสตร์สวีเดน มอบรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ประจำปี2562 ให้แก่ นายอะบีจิต บาเนร์จี นางเอสเธอร์ ดิวโฟล นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) และนายไมเคิล เครเมอร์นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นการยกย่อง “การนำนวัตกรรมการวิจัยเชิงทดลอง” (Experimental Research) มาสนับสนุนการวิจัยเศรษฐศาสตร์ด้านการพัฒนา และว่าการมอบรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปีนี้อาจจะมาได้ถูกที่ถูกเวลา
เพราะข้อมูลจากสถาบันสถิติแห่งองค์การยูเนสโก (UIS) ชี้ว่ายังมีเด็กเยาวชนมากกว่า 263 ล้านคนทั่วโลกที่ยังคงอยู่นอกระบบการศึกษา โดยในจำนวนนี้เป็นเด็กวัยประถมศึกษามากกว่า 60 ล้านคน
ที่น่ากังวลไปกว่าจำนวนเด็กนอกระบบ คือ ความก้าวหน้าในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาในทศวรรษที่ผ่านมา เริ่มชะลอตัวลง กลุ่มเป้าหมาย 5-10% สุดท้าย ยังเข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษาหรือต้องออกจากการเรียนกลางคัน ที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือ ตัวเลขเด็กนอกระบบการศึกษาในระดับโลกเริ่มกลับมามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นระหว่างปี 2016-2017 อีกครั้ง
ในขณะที่ประเทศไทยเองยังมีเด็กเยาวชนในครอบครัวที่ยากจนและด้อยโอกาสอีกมากกว่า 670,000 คน ที่มีอายุ 3-18 ปี และยังมีนักเรียนกลุ่มเสี่ยงในครอบครัวที่ยากจนและยากจนพิเศษอีกเกือบ 2 ล้านคนที่อาจจะหลุดออกจากระบบการศึกษาก่อนสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน
จากสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของโลกที่มีแนวโน้มลดลงในอัตราที่ถดถอยมากซึ่งสะท้อนสภาพปัญหาที่มีความยากมากขึ้น ในขณะที่งบประมาณของภาครัฐและเงินบริจาคกลับมีแนวโน้มลดลง จึงมีความจำเป็นที่ผู้กำหนดนโยบายต้องเลือกใช้ มาตรการที่ลงทุนน้อย แต่ได้ผลมาก ซึ่งนวัตกรรมการวิจัยเชิงทดลอง ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปีนี้จึงอาจเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้กำหนดนโยบาย และหน่วยงานที่มีภารกิจลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจนสามารถเลือกนโยบายที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาตามบริบทของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความยั่งยืน
การที่เด็ก เยาวชน หรือ ผู้ปกครอง ปฏิเสธการศึกษาแม้รัฐบาลจะสร้างโรงเรียน หรือจ้างครูเพิ่มเติมในพื้นที่ใกล้เคียงเด็กๆมากขึ้นแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นคนที่ขาดซึ่งเหตุผล หรือ ไม่เห็นความสำคัญของการศึกษาต่ออนาคตของบุตรหลาน แต่คนกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นการตัดสินใจ ด้วยมาตรการลดความเหลื่อมล้ำที่เข้าใจในอุปสงค์ต่อการศึกษาของพวกเขาอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับบริบทเฉพาะต่างๆ อย่างแท้จริง
“เด็กบางคนต้องเดินทางมาโรงเรียน บางคนอยู่ห่าง 20 กิโล เดินทางมา 20 บาท เดินทางกลับอีก 20 บาท ถ้าพ่อแม่ขายปลาไม่ได้ เด็กต้องอยู่บ้าน เพราะไม่มีค่าเดินทาง ไม่มีเงินกินอาหารเช้า บางคนขาดเป็นบางวัน เพราะไม่มีชุดพละ ในขณะที่แจกเครื่องแบบนักเรียน ปูพรมไปทั้งประเทศ ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนสาธิตเกษตร บอกว่าไม่ต้อง เค้าซื้อเครื่องแบบให้ลูกได้ ครูก็รวบรวมเพื่อไปบริจาค นี่คือสิ่งที่สะท้อนเรื่องของมาตรการฝั่งอุปทาน พวกเราต้องระวังอย่าตกหลุมพรางว่า งานของกสศ.ซ้ำซ้อน จนขอตัดงบประมาณ แต่ความจริงมันคนละวง คนละภารกิจ” ดร.ประสาร กล่าว
ด้านดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า กสศ. เราจะใช้เงินเหล่านั้นไปถึงตัวเด็กเยาวชน และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้มีประสิทธิภาพสูงสุดของเงินที่ได้รับมาทุกบาททุกสตางค์ที่ได้รับมาทั้งจากรัฐบาล และจากการบริจาคของภาคเอกชนและประชาชน
คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณ รายจ่ายประจำปี 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านได้รับรู้ข้อมูลและภารกิจของหน่วยงานที่ช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส ตรงเป้าหมายแล้ว ก็ไม่ควรที่จะไปหั่นงบประมาณที่ทางรัฐบาลเขียนโปรแกรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีไว้แล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี