ปัญหาค่าเงินบาทของไทยแข็งค่ามากที่สุดในเอเชีย ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2562 ล่าสุดในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2562 ปรากฏว่าอัตราแลกเปลี่ยนกับเงินเหรียญสหรัฐอยู่ที่ 30.165 บาท ซึ่งถือว่ายังแข็งมากหากนำไปเปรียบเทียบกับเงินตราสกุลหลักของโลกและเงินสกุลใน 10 ชาติอาเซียน จะพบว่าเงินบาทแข็งอย่างที่สุดซึ่งเป็นผลให้การส่งสินค้าออกของไทยลดปริมาณลงจากเป้าหมายเดิมค่อนข้างมาก
อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับเงินสกุลต่างๆ 1 ปอนด์สเตอร์ลิง 38.46 บาท ยูโรเท่ากับ 33.20 บาท 100 เยน ญี่ปุ่น 27.36 บาท 1 เหรียญฮ่องกง 3.80 บาท 1 หยวน จีน 4.20 บาท 1 ฟรังก์ สวิส 30.13 บาท 1 รูปี อินเดีย 0.37 บาท 1 ริงกิต มาเลเซีย 7.10 บาท 1 เหรียญสิงคโปร์ 21.88 บาท 1 เหรียญบรูไน 21.70 บาท 1 เปโซฟิลิปปินส์ 0.58 บาท 1 รูเปียห์อินโดนีเซีย เท่ากับ 0.02 บาท 1 วอน เกาหลีใต้ 0.02 บาท 1 เหรียญไต้หวัน 0.98 บาท 1 จ๊าด เมียนมา 0.02 บาท 100 กีบ ลาว 0.34 บาท 100 ด่ง เวียดนาม 0.13 บาท 100 เรียลกัมพูชา 0.73 บาท
เหตุผลที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเป็นเพราะมีการนำเงินสกุลต่างๆ จากเพื่อนบ้านไหลเข้ามาในธนาคารพาณิชย์ของไทย มากตลอดเวลา รวมทั้งเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดตราสารหนี้ของไทยและอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยสูงกว่าหลายประเทศการจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวก็คือคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า
ปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นร้อยละ 7.82 เป็นสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุดเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย มีสาเหตุหลักมาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องของประเทศไทย ในขณะที่สกุลเงินของประเทศอื่นในภูมิภาคไม่แข็งค่าเท่าเงินบาทอย่าง เช่น เงินวอน เกาหลี อ่อนค่าลงร้อยละ 4.1 ค่าเงินริงกิตอ่อนค่าลงร้อยละ 1.1 และค่าเงินเปโซอ่อนค่าลงร้อยละ 3.5% การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของการส่งออกทั้งสินค้าและบริการในระยะ 2 เดือนสุดท้าย ของปี 2562
อีกประการคืออัตราเงินเฟ้อของไทยเองก็อยู่ในระดับที่ต่ำเพราะราคาน้ำมันดิบไม่สูงในขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกได้ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยุงฐานะทางเศรษฐกิจซึ่งในที่สุดจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย จะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงประมาณร้อยละ 0.25 ทำให้อัตราดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 1.25 ต่อปี เพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งต่อไปในต้นปี 2563
สิ่งที่รัฐบาลคือกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องดำเนินการในระยะ 2 เดือนสุดท้ายของปี 2562 ก็คือรัฐบาลต้องส่งเสริมให้นักธุรกิจรายใหญ่ของประเทศออกไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านให้มากขึ้นจะทำให้เงินตราสำรองของไทยไหลออกไปขณะเดียวกันในภาครัฐไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเองและรัฐวิสาหกิจต้องสั่งสินค้าทุนเข้ามาในประเทศให้เร็วมากขึ้นโดยเฉพาะโครงการด้านโลจิสติกส์ขนาดยักษ์ที่กำลังดำเนินการอยู่
เมื่อเงินต่างประเทศสำรองไหลออกไปเพิ่มมากขึ้นก็จะทำให้ค่าเงินบาทที่แข็งมากลดค่าลงได้บ้าง ซึ่งเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาตามหลักวิชาเศรษฐศาสตร์มหภาคธรรมดาๆ นี่เองไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกในทางปฏิบัติแต่อย่างใด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี