“วันนี้เราไม่ได้พูดถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะส่วนตัวแล้ว การแก้ไขธรรมนูญของฝ่ายค้านคือการแก้ข้อเสียเปรียบ เพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ ขณะที่รัฐบาล ไม่อยากให้แก้เพราะตัวเองได้เปรียบอยู่แล้ว ไม่อยากแก้เพื่อไม่ให้ตัวเองเสียเปรียบ ซึ่งสำหรับผมแล้ว มันไร้สาระ เพราะสิ่งที่เป็นสาระสำหรับผม คือการที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนแต่ไม่มีใครเป็นตัวแทนของประชาชน”
นี่คือคำกล่าวของ “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” ซึ่งเป็นคำกล่าวที่น่าคิด
ในความเป็น “เกม” ของการยื้อแย้งความได้เปรียบ นายสนธิอ่านขาดว่า ฝ่ายรัฐบาลได้เปรียบจากรัฐธรรมนูญนี้ จึงไม่มีความพยายามหรือความกระตือรือร้นที่จะแก้ไข หรืออาจไม่เปิดทางให้มีการแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วย เพราะมีเสียงของ สว. เป็นเกราะคุ้มกันอยู่
ก็ไม่ใช่ “ความได้เปรียบ” หรือบางคนถึงกับเรียกว่า เป็น“การเอาเปรียบ” แบบนี้หรือ ที่นำมาซึ่งความขัดแย้งที่ไม่รู้จบ ที่นำมาซึ่งการเติบโตของ “พลังใหม่” ให้มีความชอบธรรมที่จะ“เพิ่มมวลชน” ของตนมา “ล้มล้าง” สมบัติจากการ “รัฐประหาร”คือ “รัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นเพื่อความได้เปรียบ”
ครั้นพลิกกลับไปดูอีกฝ่าย แรงผลักดันในการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น มีอยู่สามชนิด สามประเภทด้วยกัน คือ
1) แก้ไขเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขันกันเพื่อเข้าสู่อำนาจ ลดการเผชิญหน้าและความขัดแย้งในสังคม เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น
2) แก้ไขเพื่อลดความเสียเปรียบของฝ่ายตนเอง
3) แก้ไขเพื่อ “ถือโอกาส” ลดอำนาจหรือล้มล้างอำนาจของบางกลุ่มลง
ในข้อ 1) ที่ดูสวยงามนั้น ก็มีความเป็นข้อ 2) เจืออยู่ในทีแต่มีท่าทีที่ดีกว่า สร้างสรรค์กว่าข้อ 2) ล้วนๆ เราจึงเห็นว่าเวลานี้ กลุ่มคนข้อ 1) ซึ่งอาจแทนที่ด้วย “พรรคประชาธิปัตย์” กับกลุ่มคนข้อ 2) ซึ่งอาจแทนที่ด้วยพรรคเพื่อไทย และแขนงที่แตกออกไปเป็นพรรคอื่นๆ ล้วนเห็นดีเห็นงามกับการผลักดัน “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ขึ้นเป็นประธานกรรมาธิการศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะสมประโยชน์กันในเชิงเป้าหมายปลายทาง จึงอยู่ในสภาพ “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” ยอมหนุน เพื่อไม่ให้เสียโอกาส และลดการเผชิญหน้าของฝ่ายตัวเองกับฝ่ายผู้มีอำนาจ ด้วยการผลักอภิสิทธิ์ขึ้นมาเป็น “หนังหน้าไฟ”
ขณะที่ข้อ 3) ซึ่งอาจแทนที่ด้วยพรรคอนาคตใหม่ ก็ทำได้เพียง “ตามน้ำไปก่อน” เพราะแนวทางการล้มล้างรัฐธรรมนูญเพื่อเขียนใหม่ ชนิดที่บางคนในพรรคถึงกับพลั้งปากบอกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ (ปี 2560) “เฮงซวยทุกมาตรา” กับความพยายามที่จะเล่นในประเด็นว่า นี่เป็นรัฐธรรมนูญที่เขียนโดยคณะรัฐประหาร ยังไม่ค่อยได้รับการตอบรับนัก ทั้งมีแรงต้าน แรงเสียดทานหนักหนาด้วย แต่ในหมู่ผู้สนับสนุนกลุ่มเล็กๆ ก็ใช้ประเด็นนี้ “เล่นแรงๆ” อยู่ตลอดเวลา เพื่อกระทบไปยัง “สถาบัน” หลักๆ ในสังคม อย่างเช่น กองทัพ เป็นต้น
ทำไมรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถึงกลายเป็นชนวนความขัดแย้ง เป็นกติกาที่มีคนจ้องว่าจะต้องแก้ไขมาโดยตลอด?
คำตอบคือ...
ผลจากการมีทัศนะในเชิง “แบ่งแยก” ว่าตนเป็นฝ่ายดี รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ นำมาซึ่งการ “ตัดต่อพันธุกรรมรัฐธรรมนูญ” ที่คณะกรรมการร่าง ได้ร่างและส่งมา (อย่างหน้าด้านๆ-ในความเห็นของคนบางกลุ่ม) มีการแทรกบทเฉพาะกาล มีการแต่งกฎหมายลูกขึ้นมารองรับ “กลุ่มคนดี” โดยกลุ่มคนที่นิยามตัวเองว่า“รักชาติและเป็นคนดี” เพื่อหนุน “คนดี” ให้ได้มีอำนาจต่อใน“ระยะเปลี่ยนผ่าน” ด้วยการชงกันไปชงกันมาในองคาพยพที่ คสช.ตั้งขึ้น บางเรื่องเป็น คสช. นั่นแหละ ชงเอง บางเรื่องให้ ครม. เป็นผู้เสนอ โดยที่ทั้ง ครม. และ คสช. มี “นาย” คนเดียวกัน คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. (ในขณะนั้น) และนายคนนี้นั้น ก็ไป “ให้คุณ” แก่กลุ่มคนที่ช่วยกันตัดแต่งรัฐธรรมนูญ ให้มีบทเฉพาะกาลและ “คำถามพ่วง” จนนำมาสู่การที่ สว. ซึ่งมาจากการเลือกของ คสช. มีสิทธิ์ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีได้อย่างมีนัยสำคัญ และที่มาของ สว. คนดีนั้นก็ให้คนดีเป็นคนเลือกไปก่อน แล้วค่อยกลับเข้าภาวะปกติหลัง 5 ปี ผ่านไป
พฤติกรรมเช่นนี้ คือสิ่งที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น ได้ “ทำนาย” เอาไว้แล้วว่า จะนำมาซึ่งการเผชิญหน้าและความขัดแย้งของคน
ในชาติ ที่มี “รัฐธรรมนูญ” เป็นเหตุ
รัฐธรรมนูญฉบับ “คนดีเขียน คนดีตัดต่อ เพื่อหนุนคนดี”นี้ นำมาซึ่งวิธีที่ “คนดีๆ” ไม่ควรจะใช้ ไม่ควรจะทำ หลายเรื่อง
แต่การเล่นกับประเด็น “ฝ่ายดี” กับ “ฝ่ายชั่ว” นั้น ได้ผลเสมอในทุกๆ สังคม ตั้งแต่โบราณนานมา ตาม “ราก” ของผู้คนที่เติบโตมากับเข็มทิศที่ “ปัก” ไว้ในกระบวนทรรศน์ของพวกเขาว่า “ธรรมะย่อมชนะอธรรม” ซึ่งเป็นแนวคิดหรือคอนเซ็ปต์ที่ “หยาบ” ทำให้คนมองแต่ฟากฝั่ง ขั้วข้างแต่ไม่ “พิจารณา” เรื่อง “วิธีการ” ที่ใช้
ทั้งๆ ที่ “กรรม” หรือ “วิธีการ” หรือ “การกระทำ” ต่างหากที่บอกถึง “ความดี” หรือ “ความชั่ว” ความถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ความเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม
เมื่อใดก็ตาม ที่คนดีใช้วิธีชั่วๆ เขาก็ไม่อาจถูกเรียกว่า “คนดี” ได้อีก แต่คนจำนวนมากก็ยังเชื่อว่า “คนดี ทำอะไรก็ดี”นี่แหละ คือปัญหาที่ยังค้างมาถึงการจะ “แก้รัฐธรรมนูญ” นี้
เราจะเห็นว่า ประชาชนจำนวนมาก นอนกกรัฐธรรมนูญเอาไว้อย่างหวงแหน ราวกับงูจงอางหวงไข่ โดยที่งูจงอางที่ว่านี้ไม่เคยพิจารณาด้วยซ้ำว่าไข่ที่ตัวเองกก และพร้อมจะฉกคนที่จะมาหยิบไข่นั้น ว่ามันเป็น “ไข่นกกระทา” หรือ “ไข่เหี้ย”
หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า ประชาชนจำนวนไม่น้อยไม่ได้มีความเข้าใจในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญด้วยตนเองอย่างแท้จริง เพราะไม่ได้อ่าน หรืออ่านก็ใช่ว่าจะเข้าใจได้โดยง่าย พวกเขาจึงอาศัย“ฟังจากคนที่ฉันเชื่อถือ” แทน ส่วนหนึ่งจึงถูก “หล่อหลอมความคิด” เอาไว้ว่า รัฐธรรมนูญนี้ดี เขียนโดยคนดี ถูกต่อต้านโดยคนชั่ว ดังนั้น ใครจะแก้รัฐธรรมนูญ คือ คนชั่ว นี่เป็นรัฐธรรมนูญที่ “ผ่านประชามติ” โดย “ประชาชน” มาแล้ว จะมาแก้ทำไม ไม่เคารพประชามติของประชาชนกันเลยหรือ
ก็อย่างที่ถามนั่นแหละครับ ประชาชนชนิด “งูจงอาง” เหล่านี้เคย “ทำความรู้จัก” กับ “ไข่” คือ “รัฐธรรมนูญ” ที่ตนกกเอาไว้อย่างหวงแหนนั้นไหม ว่าเนื้อหา หลักการ วิธีการ มันถูกต้อง เที่ยงธรรม เป็นประชาธิปไตย ไม่แฝงไว้ซึ่งการสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบ ปิดกั้นการตรวจสอบเอาผิดคนทุจริต และอื่นๆ หรือไม่หรือเพียงกกไว้เพราะเชื่อว่าเป็น “ไข่” ที่ต้องกก ซึ่งเกิดจากการ“ถูกทำให้เชื่อ” ด้วยซ้ำไป ประชามติจึงเป็นเรื่องที่รับฟังได้แต่จะใช้ให้เป็น “ที่สุดของเรื่อง” คงจะมิได้
ตั้งแต่ก่อนทำประชามติจนถึงบัดนี้ ประชาชนอ่านรัฐธรรมนูญกันกี่คนครับ การแจกจ่ายเนื้อหาในรัฐธรรมนูญให้คนได้อ่านก่อนทำประชามติ ทั่วถึงไหมครับ ได้ไปแล้วอ่านกันไหมครับ อ่านแล้วรู้เรื่องเข้าใจใช่ไหมครับ มีบรรยากาศที่เอื้ออำนวยให้มีการถกเถียงกันถึงข้อดีข้อไม่ดีของรัฐธรรมนูญก่อนลงประชามติอย่างเปิดกว้าง เสรี เท่าเทียม เป็นธรรม ทั่วถึง โดยไม่มีใครถูกปิดกั้น ตั้งข้อหา หรือควบคุมตัวใช่ไหมครับ
นี่ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่ขณะนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ออกมาเรียกร้องให้ กกต. ซึ่งเป็นคนกลาง ได้กำหนดระเบียบและสร้างบรรยากาศของการถกเถียงที่ควรจะทำได้และได้ทำอย่างทั่วถึงกัน โดยไม่มีการปิดกั้นอย่างที่มันเป็นอยู่
ก็ด้วยท่าทีพวกนี้กระมัง ที่ทำให้ “พลังประชารัฐ” ดูจะเป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวที่ยัง “เสียวๆ” กับการมีประธานกรรมาธิการศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อยู่
ดัน “สุชาติ ตันเจริญ” ขึ้นมาเป็นคู่แข่ง สุชาตินี่เดี๋ยวก็รับ เดี๋ยวก็ไม่รับ ยังคง งงๆ อยู่
ขณะที่ศิษย์เก่าประชาธิปัตย์อย่าง ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ กับ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ยังแบ่งรับแบ่งสู้ และชูประเด็นว่าพลังประชารัฐซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาล เป็นพรรคแกนนำของฝั่งนี้ มี สส. ก็น่าที่จะได้เป็นประธานมากกว่านายอภิสิทธิ์ อะไรทำนองนี้
ยังหาตัวคนไม่ได้ แต่ขอจองพื้นที่ไว้ก่อน ระหว่างนี้ก็เดินสายทาบทาม หาคนที่จะมา “แทนที่” อภิสิทธิ์ให้ได้ เพราะอภิสิทธิ์นั้น “ควบคุมไม่ได้” อาจกลายเป็น “ตัวช่วยฝ่ายค้าน” ให้ “สมหวัง” ได้ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทั้งหมดที่เดินกันอยู่นี้ เดินเรื่องโดยใช้ “ตัวบุคคล” เป็นที่ตั้ง นับเป็นการเดินที่จะเป็นปัญหา เพราะตัวบุคคลย่อมมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย สนับสนุนและไม่สนับสนุนเป็นธรรมดา จึงควรหันมาตั้งต้นที่ “เหตุผลของการจะต้องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ” กันก่อน แต่ละคน แต่ละพรรค แต่ละกลุ่ม ครอบคลุมไปถึงภาคประชาสังคม ฝ่ายวิชาการ และสื่อสารมวลชน ควร “ชี้ประเด็น” ให้ “มีน้ำหนัก” ว่า เพราะเหตุใดจึงต้องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนี้
ซึ่งก็ด้วยประเด็นนี้เอง ที่ต้องนำมาสู่การมี “กรรมาธิการศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
แต่ก็ถูกทำให้เป็นเรื่อง “การชิงไหวชิงพริบ” ทางการเมืองเสียอย่างนั้น
ฝ่ายหนึ่งก็สุดโต่งในการที่จะปกป้องรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ฝั่ง “คนดี” ของตนได้เปรียบ ได้อยู่ในอำนาจ เพื่อ “ปกป้องบ้านเมือง” จากคนชั่วที่จะเข้ามา “ล้มล้าง” หรือ “โกงกิน”
อีกฝ่ายก็เล่นบท “คนชั่ว” ได้ดีเสียด้วย จะยกเลิกรัฐธรรมนูญ จะตั้ง สสร. ขึ้นมาร่างใหม่ เฮงซวยทุกมาตรา อาจต้องแก้ไขแม้กระทั่งมาตราที่ 1 ฯลฯ ซึ่งก็เป็นความสุดโต่งไปอีกขั้วหนึ่ง
พอมีฝ่ายหนึ่งเดินสายเพื่อ “ปลุก” ประชาชนขึ้นมาเป็นแนวร่วมในการช่วยพวกเขาผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งไปในทาง “เขียนใหม่” เสียมากกว่า ก็มีอีกพวกเดินสาย ตั้งเวลา “ไม่แก้ก็อิ่ม” เพื่อบอกว่ารัฐบาลนี้ทำให้ท่านอิ่มได้โดยไม่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ตรรกะวิบัติกันไปหมด!! เพียงเพื่อจะ “เอาชนะ” กัน
ตั้งสติครับ แล้วกลับมาหาเหตุผลว่าทำไมต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะแก้มาตราไหน เพราะอะไร แล้วจะแก้ให้เป็นอย่างไร พูดกันเสียให้เป็นรูปธรรม ให้คนทั่วๆ ไปเขาสิ้นความระแวง และร่วมเห็นเหตุผลที่ควรต้องแก้ไขในมาตรานั้นๆ แล้วแสวงหาวิธีที่จะได้แก้ไขไปด้วยกัน เกิดความชอบธรรมด้วยบรรยากาศสงบ สร้างสรรค์ ไม่ใช่ฟาดฟันกันด้วยความเป็นขั้วเป็นข้างอย่างเดิม เพียงแต่เอารัฐธรรมนูญมาเป็นเงื่อนไขที่จะทำสงครามการเมืองกันต่อไปเท่านั้น
“กรรมาธิการศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ” จึงเป็นเครื่องมือกลางๆ ที่ควรทำให้มัน “ใช้ได้” ไม่ใช่คิดจะแปลงมันเป็น “อาวุธ” ห้ำหั่นกันต่อไป
ใช้ได้ในที่นี้หมายถึง เป็นคนกลางที่จะดึงฟากฝ่ายต่างๆมาสะท้อนปัญหา และเสนอว่า ควรแก้ไขส่วนไหน อย่างไร โดยไม่ต้องไปตระเวนตั้งเวที “ยื้อแย่งประชาชน” ด้วยการ “ยัดเยียด” ความคิดของฝั่งตน ปลุกเร้าให้ประชาชนมา “ช่วยรบ” เป็น สงครามที่ไม่รู้จบ” กันอย่างที่ทำอยู่
เรื่องนี้ต้องจบ และจบในความสงบและความมีเหตุผลด้วย
เรื่องนี้จึงต้องการ “คน” ที่ทุกฝ่ายยอมรับและอยากมา “ให้ข้อมูล” โดยที่เขาสบายใจว่า คนคนนี้ “ไม่มีธง” ที่จะฟังพวกหนึ่ง ไม่ฟังอีกพวกหนึ่ง
ทำความเข้าใจร่วมกันนะครับว่า กรรมาธิการชุดนี้ มีขึ้นเพื่อ “รับฟัง” มันเป็น “น้ำเย็น” เพื่อลดความขัดแย้งในสังคมอันเกิดจากรัฐธรรมนูญ แผ่นดินที่ “ร้อนเป็นไฟ” ในทุกๆ เรื่อง จะมีพื้นที่เย็นๆ รับฟังซึ่งกันและกันสักเรื่อง สักพื้นที่ มันไม่ดีตรงไหน?
กรรมาธิการชุดนี้ เพียงแค่ทำหน้าที่ “ศึกษาปัญหา” และนำเสนอ “แนวทางแก้ไข”
ถ้าฝ่ายหนึ่งเชื่อมั่นยืนยันหนักแน่นว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีงาม ไร้ปัญหา แล้วตัวเนื้อสั่น กลัวการมีกรรมาธิการชุดนี้ทำไม?
กรรมาธิการที่ทำได้แค่ “รวบรวมปัญหา” กับแนวทางแก้ไข เสนอให้ “รัฐสภา” ได้เอาไปพิจารณาและถกเถียงกัน ว่าจะทำยังไงต่อไป แก้หรือไม่แก้ แก้อะไร แก้อย่างไร มันไปถกเถียงและลงมือทำหรือโยนทิ้งกันที่ตรงนั้น
ทำไมต้องกลัว ต้องขวาง ต้องสร้างกระแสให้คนที่อยากมีกรรมาธิการชุดนี้ อยากมีประธานคนนี้เสมือนเป็น “ผู้ร้าย”
หรือว่าพวก “ผู้ดี” ได้ซุกซ่อนอะไรเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี