ดูคนระดับ “ผู้นำ” ให้ดู “ปัญญา” กับ “ท่าที” ที่พึงแสดงออกอย่างมี “วุฒิภาวะกำกับ” ในสถานการณ์ไม่ปกติลองเอาหลักการนี้ มาดู “รัฐมนตรีท่านหนึ่ง” กันครับ
1) เริ่มที่สถานการณ์ต้นเรื่องกันก่อน
เมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 10 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจากศูนย์วิทยุตำรวจ ว่ามีเหตุวัยรุ่นยกพวกไปทำร้ายกันที่โรงพยาบาล ขอกำลังเจ้าหน้าที่ช่วยเข้าควบคุมสถานการณ์ เหตุเกิดที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลอ่างทอง อ.เมืองอ่างทอง จ.อ่างทอง
ตรวจสอบที่เกิดเหตุพบวัยรุ่นชาย-หญิงจำนวนมาก ส่วนใหญ่อายุประมาณ 20-30 ปี ยืนเดินไปเดินมากันโวยวายอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาล และเจ้าหน้าที่สมาคมกู้ภัยจังหวัดอ่างทอง เฝ้าระวังเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆ นอกจากนั้นบริเวณเก้าอี้นั่งรอการรักษาหน้าห้อง มีวัยรุ่นชายใส่เสื้อสีดำคนหนึ่งนั่งอยู่ในสภาพมีเลือดไหลตามศีรษะเป็นจำนวนมาก
ต่อมาวัยรุ่นกลุ่มดังกล่าวที่เดินอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน โวยวายกล่าวหาว่าทางโรงพยาบาลไม่ยอมนำเพื่อนของพวกตนที่ได้รับการบาดเจ็บเข้าไปรักษา จากนั้นพยายามยกพวกกรูเข้าไปภายในห้องฉุกเฉิน ซึ่งขณะนั้นภายในมีการรักษาผู้บาดเจ็บอีกคนอยู่ จนทางเจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลต้องวิ่งมาห้ามกันจ้าละหวั่น
และระหว่างที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น มีคนเห็นกลุ่มวัยรุ่นคู่อริแอบอยู่ในห้องด้านข้าง กลุ่มวัยรุ่นกรูกันจะเข้าไปทำร้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องเข้าห้าม แต่กลุ่มวัยรุ่นไม่เกรงกลัวยกพวกต่อยตีกัน จนเจ้าหน้าที่ตำรวจโดนลูกหลงไปด้วย
สอบถามเจ้าหน้าที่กู้ภัยรายหนึ่ง กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุทางสมาคมกู้ภัยจังหวัดอ่างทองรับแจ้งมีเหตุคนถูกทำร้ายร่างกายที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ นำกำลังตรวจสอบพบภายในสถานบันเทิง มีกลุ่มวัยรุ่น 2 กลุ่ม ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกัน มีผู้บาดเจ็บ 2 คน จึงนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล ระหว่างที่นำคนเจ็บคนแรกเข้าไปรักษา จู่ๆ ผู้บาดเจ็บอีกคนซึ่งอยู่คนละฝ่ายกัน พากันตามไปมีเรื่องกันภายในห้องฉุกเฉิน
ทั้งๆที่ขณะนั้นเจ้าหน้าที่กำลังช่วยรักษาคนเจ็บอยู่ ข้าวของภายในห้องฉุกเฉินได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่พยายามห้ามก็ไม่มีใครฟัง พยาบาลต่างเกรงกลัวว่าจะเกิดอันตราย จึงให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมานำคนเจ็บอีกคนและพวกออกมานั่งรอด้านนอก และขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมาช่วยดูแลความปลอดภัย สักพักมีกลุ่มวัยรุ่นมาเพิ่มและส่งเสียงโวยวายกันอีก ทำให้ทางโรงพยาบาลต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และขอกำลังสนับสนุนเพิ่มเนื่องจากวัยรุ่นมีจำนวนหลายคน
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบวัยรุ่นทั้ง 2 กลุ่มนั้น ไปเที่ยวที่สถานบันเทิงในอ่างทอง ก่อนที่จะมีเรื่องกระทบกระทั่งและทำร้ายร่างกายกันจนได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ หลังเจ้าหน้าที่กู้ภัยส่งตัวมาโรงพยาบาล ไม่ยอมจบเรื่องตามมามีเรื่องกันอีก ต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง โดยทั้ง 2 กลุ่มนั้นทราบว่าเป็นวัยรุ่นในเขตอำเภอเมือง มีทั้งหญิงและชายและส่วนใหญ่อยู่ในสภาพเมาสุรา อย่างไรก็ตามจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ด้าน นพ.ประภาส ลี้สุทธิพรชัย ผอ.โรงพยาบาลอ่างทอง ซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางไปราชการ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า โรงพยาบาลอ่างทองมีห้องฉุกเฉินมีความปลอดภัยด้วยการทำประตู 2 ชั้น เพื่อป้องกันอยู่แล้ว รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ตลอดเวลา แต่เหตุการณ์เมื่อคืนได้รับรายงานว่ากลุ่มวัยรุ่นทั้งสองกลุ่มซึ่งบาดเจ็บเข้ามารักษาตัวทั้งคู่ ก่อนที่จะมีญาติของทั้งสองฝ่ายอ้างว่าจะเข้าไปดูอาการ และเกิดปากเสียงจนทะเลาวิวาทกันขึ้น ซึ่งทางเราก็ได้ประสานทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมสถานการณ์ในทันที ในส่วนของทางโรงพยาบาลเบื้องต้นอยู่ระหว่างสำรวจความเสียหายของทรัพย์สินเพื่อรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เพื่อที่จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือคนไข้คนอื่นๆ และมีคนไข้หนักใส่ท่อช่วยหายใจรออยู่บนรถพยาบาล โดยส่งตัวมาจาก รพช. แต่นำคนไข้ลงมาที่ห้องฉุกเฉินไม่ได้เพราะไม่ปลอดภัย พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นสิ่งแรกคือเจ้าหน้าที่ต้องปลอดภัย และต่อมาคือเคลียร์สถานการณ์ให้คนไข้คนอื่นปลอดภัย ให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ในตอนนั้น ไม่รู้ว่าคนที่ทำจะรู้สึกไหมว่ามันไม่ควร ที่นี่โรงพยาบาล มีไว้ช่วยคนเจ็บไข้ได้ป่วย โรงพยาบาลไม่ปลอดภัย เจ้าหน้าที่ไม่ปลอดภัย ต้องหนี ต้องหาที่ปลอดภัยที่อื่นอยู่ แล้วคนไข้จะปลอดภัยได้อย่างไร
2) ปัญญาและท่าทีของรัฐมนตรี
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค “อนุทิน ชาญวีรกูล”โดยใจความระบุว่า “ช่วยกันจัดให้หนัก เราควรจะทำอย่างไร? กับอันธพาลกระจอก ที่ชอบยกพวกมาก่อเหตุทำร้ายร่างกาย ทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาล กี่ครั้งแล้ว ที่ห้องฉุกเฉิน และโรงพยาบาล ต้องเสียหาย แพทย์ เจ้าหน้าที่ ต้องเสี่ยงบาดเจ็บ ทำงานไม่ได้ ทรัพย์สินโรงพยาบาล เครื่องมือแพทย์เสียหาย ผู้ป่วยคนอื่นๆ เดือดร้อน ขอแบบเอาให้เข็ดหลาบ ไม่แสดงสันดานหยาบช้าป่าเถื่อนแบบนี้อีก ในสงครามยังเว้นพื้นที่ปลอดภัยให้โรงพยาบาล แพทย์ และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์แต่ในหัวใจอันธพาลกระจอกพวกนี้ ไม่มีอะไรเลยรวมทั้งคำสอนของพ่อแม่ แย่จริงๆ กระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างเลวร้าย อีกต่อไป”
สิ่งที่พึงพิจารณาคือ
2.1 การเขียน ใช้สติมากกว่าการพูด เพราะต้องเรียบเรียงออกมาจากความคิด พิมพ์ และตรวจทาน นั่นแปลว่าท่านรัฐมนตรีกลั่นกรองแล้ว ที่จะให้ข้อความเหล่านี้เผยแพร่สู่สาธารณะ
2.2 นี่เป็น “ลีลา” หรือ “สไตล์” ของพรรคภูมิใจไทย คือ “เล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของคน เพื่อให้ได้ “คะแนนนิยม”โดยไม่กังวลถึงผลกระทบหรือผลข้างเคียง ไม่ต้องคำนึงถึง “ความสุขุมรอบคอบ” ซึ่งในทางการตลาดการเมือง แนวแบบนี้กำลัง “เกิด” ในทั่วโลก คือ ปึงปังไว้ก่อน เขาเรียกว่า “คนจริง”ไม่ใช่ “รัฐมนตรีกระจอก”
2.3 แต่ลองนึกถึงใจของ “ข้าราชการชั้นผู้น้อย” ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่สิครับ คำว่า “กระจอก” แบบนี้ มีคนเคยใช้มาแล้ว เขาชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” เพียงคำว่า “โจรกระจอก” เท่านั้น ด้ามขวานทองของไทยลุกเป็นไฟขึ้นมาอีกรอบ ใครเป็นคนรับผลกระทบครับ? ประชาชนและเจ้าหน้าที่ใช่ไหม
2.4 แน่นอน ไอ้เด็กพวกนี้ไม่เหิมเกริมเท่าโจรใต้แน่ๆมันคงไม่โกรธรัฐมนตรี แล้วยกพวกมาตี มาเผา มาทำร้ายทำลายใครที่โรงพยาบาลนี้อีกแน่ แต่ถ้ามันทำขึ้นมาล่ะครับ?
2.5 ผมอยากมีรัฐมนตรีที่มี “วุฒิภาวะทางอารมณ์” ที่สุขุมรอบคอบกว่านี้ อย่าเล่นกับทุกเรื่องที่เหมือนบอลที่กลิ้งมาเข้าตีน บางเรื่องต้องระมัดระวัง ต้อง “โต” กว่า “อันธพาลกระจอกพวกนั้น” เป็นรัฐมนตรี เรามี “เครื่องมือทางกฎหมาย” และอื่นๆ เข้าจัดการ จะเล่นคำแบบวัยรุ่นว่า “จัดหนัก” นั้น ความหมายมันจะผิดไป ไม่ต้องไปแข่งที่จะกุ๊ยจะก้าวร้าว ให้เท่าเด็กพวกนั้น ลองพิมพ์ถ้อยคำพวกนี้ออกมาแล้วเดินไปหาอธิบดีกรมสุขภาพจิตให้วิเคราะห์ดูสิครับ ว่าถ้อยคำเหล่านี้ ในนามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขนั้น ดีงามไหม ช่วยแก้ไขสถานการณ์ที่เลวร้ายให้ดีขึ้นไหม ควรสื่อสารเช่นนี้ไหม
3) ในวันเดียวกัน ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุทะเลาะวิวาทในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้กำชับให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่เกิดเหตุทะเลาะวิวาทแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุอย่างเข้มข้น ไม่มีการประนีประนอม เพราะกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้มารับบริการ และขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ โดยกระทรวงสาธารณสุขพร้อมประสานระดับนโยบายกับกระบวนการยุติธรรม ในการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ หรือเกิดความเสียหายต่อทรัพย์ ให้ได้รับอัตราโทษที่สูงกว่ากรณีทั่วไป เพื่อให้เกิดความเด็ดขาดและหลาบจำไม่ให้ทำความผิด พร้อมจะดำเนินการพัฒนาระบบแจ้งเตือนหากเกิดเหตุทะเลาะวิวาทจากโรงพยาบาลไปยังสถานีตำรวจเพื่อจัดเตรียมกำลังพลสำหรับระงับเหตุได้อย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่ง ได้มีมาตรการความปลอดภัยในโรงพยาบาลที่ห้องฉุกเฉิน อาทิ จัดระบบควบคุมประตู หรือมีทางเข้า-ออก ที่ปลอดภัยหลายช่องทาง จัดสถานที่พักคอยสำหรับญาติ จำกัดการเข้า-ออก ตรวจสอบกล้องวงจรปิดให้พร้อมใช้งาน และติดตั้งเพิ่มในจุดเสี่ยง จัดระบบคัดกรองโดยเฉพาะผู้ป่วยห้องฉุกเฉิน และจัดบริการให้เหมาะสมกับความเร่งด่วน รวมทั้งให้สื่อสารกับญาติผู้ป่วยเป็นระยะ เพื่อลดความวิตกกังวล จัดหาสัญญาณเตือนภัย หรืออุปกรณ์ขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน และมีช่องทางแจ้งเหตุด่วนกับตำรวจ ฝ่ายปกครอง และเครือข่ายอาสาสมัคร มูลนิธิต่างๆ ในพื้นที่ เป็นต้น
นี่คือสิ่งที่อยากจะได้ยินครับ ได้ยินวิสัยทัศน์ ได้ยินแนวทางการแก้ไขปัญหา ได้ยินสติปัญญา ได้ยินความสุขุมคัมภีรภาพ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้ปฏิบัติงานในท้องที่เกิดเหตุ ไม่ใช่ได้ยินถ้อยคำที่ “อันธพาลกระจอก” พวกนั้นก็พูดได้ ไม่ต้องลงไป “กระจอก” เท่ากัน
การเมืองของเรา บ้านเมืองของเรา มักจะเน้น “ความมัน” มากเกินไปเสียแล้ว จนลืมระแวดระวังว่าจะเกิดอะไรตามมา บางทีกรมสุขภาพจิตควรเห็นได้แล้วว่า ความก้าวร้าวและโทสะของสังคมนี่แหละ คือ “ภัย” ที่ต้องแก้ไขเสียตั้งแต่ต้น โดยเริ่มจากตักเตือนคนที่ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดี ว่าไม่ควรทำเช่นนี้เสียเอง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี