ปัญหาความขัดแย้งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปี 2560 นั้น ได้ถูกนักการเมืองกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ได้นำเอาคำว่าประชาชนมาใช้เป็นข้ออ้างอีกครั้งว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการขอแก้ไขโดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ผลการลงประชามติระบุว่ามีประชาชนคนไทยมากกว่า 16 ล้านคน ได้ให้ความเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 นี้
หลักการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นต้องใช้มาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญก่อนโดยมาตรานี้ได้ระบุว่าถ้าจะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องมีผู้เสนอญัตติเป็นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญผู้เสนออาจจะได้แก่คณะรัฐมนตรีหรือ สส. ไม่น้อยกว่า 100 คน หรือ สส.กับสว. รวมกันไม่น้อยกว่า 150 คน หรือพลเมืองไม่น้อยกว่า 50,000 คนยื่นเพื่อขอแก้ไข
ขั้นตอนที่จะทำต่อไปคือการพิจารณาญัตติซึ่งจะกระทำเป็น 3 วาระ วาระแรกคือการรับหลักการ วาระที่สองแปรญัตติรายมาตรา วาระที่สามลงมติรับหรือไม่รับร่างแก้ไขเพิ่มเติมที่ผ่านวาระสอง การออกเสียงในวาระที่หนึ่งและวาระที่สองใช้เสียงข้างมากของสมาชิกรัฐสภาเป็นเกณฑ์ ซึ่งจะรวมทั้ง สส. 500 คน กับสว. 250 คน เสียงข้างมากคือต้องมากกว่า 375 คนขึ้นไป
ปัญหาสำคัญคือการลงมติในวาระที่สามนั้นจะต้องมีเสียงสนับสนุนมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาแล้วยังมีเงื่อนไขเพิ่มเติมดังนี้ ในจำนวนเสียงสนับสนุนต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี, ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน
และมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา250 คน นั่นคือ สว.ต้องเห็นชอบด้วยอีก 85 คน จาก 250 คน ในวาระที่ 3 ถ้าหากว่ามี สส. ฝ่ายค้าน 240 คน ร้อยละ 20 คือ 48 คน ญัตติจะผ่านวาระที่สามได้ก็ต้องมี สส. ฝ่ายค้านสนับสนุนไม่น้อยกว่า 48 คน หมายความว่าฝ่ายค้านต้องเสียงแตก เท่าที่ผ่านมามักไม่มีปรากฏการณ์เสียงแตกในบรรดา สส. ฝ่ายค้าน
การที่ต้องมี สว. อย่างน้อยร้อยละ 20 คือ 85 คนเป็นฝ่ายค้านในบรรดา สว. แต่ดูจากประสบการณ์การออกเสียงของ สนช. ซึ่งควบหน้าที่ สส. และ สว. จะเห็นได้ว่า สนช. ลงคะแนนเสียงเกือบเป็นเอกฉันท์โดยตลอด ยกเว้นเมื่อเลือกสรรบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งจึงมีความเห็นแตกต่างบ้างเป็นเรื่องปกติธรรมดา
สรุปคือยากที่จะให้ญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญผ่านวาระที่สาม ได้แม้เมื่อผ่านวาระที่สามแล้ว ญัตติอาจต้องผ่านขั้นตอนแรกคือต้องไม่กระทบ “เรื่องสำคัญ” ซึ่งในความเห็นคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ เรื่องสำคัญได้แก่ “หมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ หรือหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
หรือเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญถ้าเป็น “เรื่องสำคัญ” ดังกล่าวต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติก่อนนำร่างที่ผ่านวาระสาม ขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งการระดมเสียงประชามติให้ได้นั้นถ้ารัฐบาลไม่สนับสนุนก็เป็นเรื่องที่ยากสรุปคือการแก้รัฐธรรมนูญให้สำเร็จนั้นไม่ใช่จะทำได้โดยง่าย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี