หัวข้อนี้คงไม่ใหม่ แต่ที่ใหม่ น่าจะเน้นว่าเราจะอยู่อย่างไรกับประเทศไทยให้ได้ผลสำเร็จ เพราะในขณะที่โลกภายนอกแม้กระทั่งคู่แข่งเขาก็ทำหน้าที่เขาไปอย่างมากทั้งวิทยาศาสตร์หรือ STEM
S - Science เป็นวิชาว่าด้วยการศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆ ในธรรมชาติ โดยอาศัยกระบวนการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry)
T - Technology เป็นวิชาที่ว่าด้วยกระบวนการทำงานที่มีการประยุกต์ศาสตร์สาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ใช้ในการปรับปรุงแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาสิ่งต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่จำเป็นของมนุษย์
E - Engineering เป็นวิชาที่เกี่ยวกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมหรือสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อมาอำนวยความสะดวกของมนุษย์ โดยใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และกระบวนการทางเทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้สร้างสรรค์ชิ้นงานนั้นๆ
M - Mathematics เป็นวิชาที่เกี่ยวกับการคำนวณ เป็นพื้นฐานสำคัญและต่อยอดทางวิศวกรรมศาสตร์
ล่าสุดผมได้ทราบว่าการสอนภาษาอังกฤษของประเทศไทย ล้มเหลว ชนะอยู่แค่ 2 ประเทศ ในอาเซียนคือลาวกับพม่าและยังมีปัญหาเรื่องคุณภาพของการศึกษาทุกๆระดับ
ที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้นคือ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่มาจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เรียกว่า 4 Industrial Revolution ปัจจุบัน ประเทศไทยก็ยังไม่สามารถปรับตัวเองให้ทันกับความเร็วของการปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ได้ปัญหาคือเราจะทำอย่างไรเพราะรับมือไม่ทันและ 5.0 ก็จะมาอีก
ผมคิดว่า การศึกษาน่าจะเป็นวาระแห่งชาติ คงอยู่นอกการระบบศึกษานักเรียนเก่าของแต่ละโรงเรียนควรจะเข้าไปมีบทบาทในโรงเรียนที่ตนเรียนจบมา คำถามคือผู้อำนวยการบางแห่งไม่ต้อนรับเพราะการบริหารงานแบบแคบๆ คิดว่าโรงเรียนต้อง ผอ. ดูแล คือยังบริหารแบบโบราณของโรงเรียนในระดับประถม มัธยมที่ใช้ระบบราชการ เจ้าขุนมูลนาย อยู่มากโดยเฉพาะการบริหารในต่างจังหวัดบริหาร ยังมีผู้อำนวยการเป็นจำนวนมาก มีระบบคล้ายเจ้านาย ไม่ได้เปิดโลกกว้างให้ สร้างเครือข่ายให้ทุกๆฝ่ายได้เข้าไปช่วยเหลือโรงเรียนที่มีชื่อเสียงปัจจุบัน ถ้าใช้บุญเก่าคงไม่รอด
ผมขอชมเชยผู้อำนวยการคนใหม่ของเทพศิรินทร์ นายสุพจน์ หล้าธรรม ย้ายเข้ามาที่โรงเรียน ท่านเปิดกว้าง ได้เน้นว่าต้องสร้างเครือข่ายอย่างมีคุณค่า ไม่ว่าการเรียน กีฬาและอื่นๆ ภายในไม่ถึง 1 ปี ทุกๆ อย่างดีขึ้น นักเรียนมีความสุข นักเรียนเก่าก็ได้รับความพอใจที่มีผู้อำนวยการบริหารเครือข่ายได้อย่างดียิ่ง และด้านกีฬา ปีนี้จตุรมิตรก็ประสบความสำเร็จอย่างมากเพราะไม่เคยชนะเลิศมา 20 ปีแล้ว ผมและน้องๆ เลือดเขียวเหลืองเจ็บปวดมาก ปีนี้ภายใต้การนำของ ผอ.สุพจน์ และสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ได้ เข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในหลายปี ต้องรอผลในวันเสาร์นี้
ผมเอง ถ้ามีโอกาส ก็จะเข้าไปช่วยโรงเรียนอยู่แล้วปีนี้นอกจากได้ไปนำความรู้เรื่อง Knowledge Campingแล้ว ผมจะต่อยอดทุกโรงเรียนในเครือเทพศิรินทร์ 10 โรงเรียน โดยเข้าไปพบครู ผู้ปกครอง และนักเรียนทุกๆ โรงเรียน จะพัฒนาให้พลังของ 3 ฝ่าย ได้มีโอกาสทำงานร่วมกัน แทนที่จะเน้นเฉพาะเด็กอย่างเดียว
ยุครัฐบาลลุงตู่ ผมคิดว่ามีการพัฒนาการศึกษา มหาวิทยาลัยดีในระดับหนึ่ง มีเงินวิจัยมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สำเร็จ เพราะยังปรับตัวช้า ผมพอใจที่มีหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมายุคลุงตู่ คือองค์กรดูแลนักเรียนยากจนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งมีดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เป็นประธาน ทำให้เด็กยากจนได้รับโอกาสมีที่เรียน จะได้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ดีในอนาคต ซึ่งงานนี้ฝ่ายค้าน น่าจะยกย่องผลงานของลุงตู่แทนที่จะด่าลูกเดียวว่าสืบทอดอำนาจ
สุดท้าย ผมและทีมงานได้ไปทำ Research เกี่ยวกับงานในอนาคต 12 งาน ที่อาจจะเป็นแนวทางให้คนไทยหรือการศึกษาไทยได้คิดเพราะในอนาคตงานที่มีอยู่จะหายไปหลายอย่าง แต่งาน 12 งาน ที่ผมพูดนี้ยังไม่เกิด จึงต้องเตรียมคนให้พร้อม เช่น
1.Organ Creator ผู้ผลิตอวัยวะเทียมจากวัสดุใหม่
2. Augmented Reality Journey Builder ผู้จัดโปรแกรมทัวร์ผ่านเทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกแห่งความจริง
3. Biofilm Installer ผู้ติดตั้งฟิล์มชีวภาพให้อาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
4. Earthquake Forecaster นักพยากรณ์แผ่นดินไหว
5. Makeshift Structural Engineer วิศวกรโครงสร้างที่ออกแบบและสร้างอาคารโดยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ
6. Rewilder นักตกแต่งอาคารให้เป็นพื้นที่สีเขียว
7. Human-Machine Teaming Manager ผู้จัดการทีมทำงานร่วมมนุษย์กับคอมพิวเตอร์
8. Digital Currency Advisor ที่ปรึกษาสกุลเงินดิจิทัล
9. Drone Traffic Optimizer ผู้อำนวยความสะดวกการจราจรทางโดรน
10. Self-driving Car Mechanic ช่างซ่อมรถไร้คนขับ
11. Agile Supply Chain Worker พนักงานดูแลห่วงโซ่อุปทานที่มีความคล่องตัวสูง
12. Trash Engineer วิศวกรบริหารจัดการขยะ
แน่นอนเราเป็นประเทศเกษตรกรรม และท่องเที่ยว อาจจะไม่เกี่ยวโดยตรงทุกๆเรื่อง แต่น่าศึกษาไว้ เพราะโลกในอนาคตจะปรับตัวอย่างมาก
การศึกษาวันนี้ไม่ใช่เพื่องานใน 5 ปี แต่ทำเพื่องานที่ยังไม่เกิด ใน 10 ปี 15 ปีข้างหน้า ที่ยังไม่เกิด ผมได้พูดเรื่องนี้ในที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งว่า มหาวิทยาลัยทุกแห่งต้องสร้างให้เด็กในยุคแห่งการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยก็เป็นมหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้ โรงเรียนก็ต้องเป็นโรงเรียนแห่งการเรียนรู้ โรงเรียนควรจะมี Co-working Space ให้เด็กได้คุยกัน เด็กวิทยาศาสตร์คุยกับเด็กศิลปศาสตร์ร่วมกันคิด วิทยาศาสตร์กับความคิดสร้างสรรค์ก็สำคัญ ต้องพร้อมทำงานร่วมกันข้ามคณะ ลด Silo ลง โดยเน้นสร้างเครือข่าย และให้กฎระเบียบราชการมีน้อยลง ซึ่งปัจจุบัน กฎระเบียบกลับมากขึ้น
ผมเป็นอาจารย์ที่ธรรมศาสตร์ ทำงานสนุก ได้ผลพอควรเพราะช่วงนั้นภาครัฐไม่มีส่วนมากำหนดคุณภาพ คนกำหนดคุณภาพผมคือ อธิการบดีกับสังคมข้างนอก ปัจจุบันอาจารย์บางคนทำงานนอกมหาวิทยาลัยประชาชนชอบ แต่ข้าราชการบอกว่าผิดระเบียบมีการฟ้องร้องที่ศาลปกครองมากมาย คนดีๆ เสียกำลังใจมาก อยากให้คนอยู่นอกวงการได้รับทราบด้วยว่าคนไม่ดีมีบทบาทในการศึกษา บางครั้งคนดีขาดกำลังใจและบางทีคนเลวก็ยังอยู่ทำความเลวปกปิดความทุจริต ทำบางเรื่องที่ไม่ถูกต้องฟ้องศาลปกครองซึ่งทำให้คนดีหมดกำลังใจ
จึงเรียนมาเพื่อตั้งใจจะทำคุณประโยชน์ให้ชาติทุกเวลาที่มีโอกาสในเวลาที่เหลืออยู่
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี