“ถ้าทำกันอย่างนี้ ต้องไปเจอกันในศาล”
วลีที่ได้ยินคุ้นหูข้างต้นกำลังจะเปลี่ยนแปลงความหมายไป...
หลังปรากฏข่าวที่เกิดขึ้นในศาลจังหวัดจันทบุรี ในช่วงเช้าของวันที่ 12 พ.ย ที่ผ่านมา เมื่ออดีต นายตำรวจใหญ่นำปืนเข้าไปในห้องพิจารณาคดี แล้วยิงคู่ความและทนายความฝ่ายตรงข้ามตายไป 2 คน และบาดเจ็บอีก 2 คน และในที่สุด นายตำรวจผู้นี้ก็ถูกผู้ช่วยทนายความยิงตายด้วยปืนของตำรวจประจำศาล
ก่อนหน้าไม่กี่สัปดาห์ ผู้พิพากษาก็นำปืนเข้าไปในศาลและยิงตัวเอง หลังตัดสินคดีด้วยเหตุคับข้องใจจากผู้บังคับบัญชา
คำว่า “เจอกันในศาล” จึงแปลเปลี่ยนความหมายจากการไปให้กระบวนการยุติธรรมในศาลเป็นผู้ตัดสิน กลายเป็นว่าไปใช้ความรุนแรงแก้ปัญหากันในศาลก็แล้วกัน
“รีบนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล”
เป็นคำพูดที่คุ้นหูอีกเช่นกัน ที่หมายถึงการช่วยคนบาดเจ็บให้มีชีวิตรอดโดยช่วยนำส่งโรงพยาบาล
แต่เมื่อปรากฏข่าวว่า มีเหตุทะเลาะวิวาท ที่คู่อริตามคนบาดเจ็บเข้าไปในห้องฉุกเฉินของ รพ.อ่างทอง เพื่อเข้าไปทำร้ายซ้ำในโรงพยาบาลเหตุเกิดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นกัน
และเมื่อ 27 ส.ค ปีนี้ อาสาจราจรกลุ่มหนึ่งตามคนบาดเจ็บเข้าไปในห้องฉุกเฉินของ รพ. ในจังหวัดชลบุรี แล้วรูดม่านปิดเพื่อซ้อมทำร้ายคนบาดเจ็บที่เป็นผู้ต้องหาในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล
“รีบนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล” จึงอาจเปลี่ยนความหมายไปถ้าไม่แก้ไขความรุนแรงในสังคมไทยที่กำลังทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจ
หากตามข่าวประจำวัน จะพบการทำร้ายร่างกาย การทุบรถด้วยขวาน การด่าทอเหยียดหยาม จนถึงการรุมล้อมทำร้าย ฆ่าชาวบ้านที่อาสาเป็น ชรบ. ถึง 15 ศพ สังคมควรตระหนักถึงปัญหาและเรียนรู้อะไรได้บ้างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
1.คนในสังคมมีความยับยั้งชั่งใจน้อยลง เกิดอารมณ์โกรธ ฉุนเฉียวง่าย โดยไม่พยายามเห็นใจและคิดถึงเหตุผลของฝ่ายตรงข้ามหรือมีความเมตตา กรุณาฝ่ายที่เราไม่พอใจน้อยลง
พูดง่ายๆ ก็คือ นึกแต่ความพอใจ คิดแต่ประโยชน์ของตนเป็นใหญ่
น่าคิดว่าอะไรทำให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้
2.การมีโซเชียลมีเดีย ที่มีผู้ส่งภาพและเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ครอบคลุมทุกพื้นที่ทุกเหตุการณ์
จึงเกิดตัวอย่างและภาพจดจำฝังใจถึงวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรงที่คนอื่นเขาทำกัน จนเกิดความคิดว่า “ใครใครเขาก็ทำกัน”
3.อาวุธปืนและอาวุธอื่นๆสามารถแสวงหาและครอบครองได้ไม่ยาก อีกทั้งเมื่อเห็นคนอื่นมีอาวุธปืน ก็จะคิดสรุปเอาเองว่า เราก็ต้องมีอาวุธไว้ป้องกันตัว
แม้แต่สภาทนายความ เมื่อพบว่าคู่ความแอบนำปืนเข้าไปในศาล ผู้พิพากษาก็นำปืนเข้าบัลลังก์ศาลตำรวจศาลก็มีปืนได้ ก็เลยมีแนวคิดจะเรียกร้องให้ทนายความสามารถพกปืนไปปฏิบัติหน้าที่ในศาลได้ ซึ่งจะปรากฏความขัดแย้งในลักษณะของคดีความอยู่แล้วสถานการณ์จะเป็นอย่างไร
ปืนคืออำนาจ ทั้งป้องกันตัว ทั้งปลิดชีวิตคนอื่นทั้งหยุดยั้งการใช้ปัญญาหรือสมองของคนที่มีปืนได้
หากเรามีปืนวางอยู่ที่หัวนอน หากได้ยินเสียงเหมือนมีคนปีนเข้าบ้านสิ่งแรกที่เราจะทำก็คือการจับปืนเพื่อพร้อมจะใช้ปืนหรือใช้อำนาจนั้นแก้ไขปัญหา ใช่หรือไม่
แต่ถ้าเราไม่มีปืน เราคงต้องลุกขึ้นจากที่นอน รีบใช้ปัญญาหาทางเลือกอื่นๆ เช่นล็อกประตูห้องนอน ทำเสียงดังๆ เพื่อไล่คนบุกรุก เปิดไฟ หรือใช้โทรศัพท์แจ้งเหตุกับเพื่อนหรือตำรวจหรืออื่นๆ
การพกปืนจึงไม่ใช่มีไว้เพียงป้องกันตัว แต่มีไว้เพื่อลดการใช้ปัญญาและเมื่อคิดว่าตนมีอำนาจ(ปืน) ก็มักจะใช้อำนาจแก้ปัญหา
4.ความรุนแรงในสังคมไทยที่เกิดมากขึ้น สะท้อนความไม่เชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมจะช่วยแก้ปัญหาของเขาได้ ไม่เชื่อว่าการบังคับใช้กฎหมายในได้ผล จึงต้องตัดสินใจแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ไม่รอสถาบัน ตำรวจ อัยการ ศาล และสังคมแก้ปัญหาให้
ปัญหานี้คนในกระบวนการยุติธรรมจะต้องร่วมกันพิจารณาแก้ไขใช่ไหมครับ
5.การตรวจอาวุธผู้ที่จะเข้าไปในศาล รัฐสภา โรงพยาบาล ทำเนียบรัฐบาล สนามบิน และสถานที่สำคัญอื่นๆ แม้จะเป็นการป้องกันแก้ไขปลายเหตุ แต่ก็สำคัญและจำเป็นต้องรีบดำเนินการแก้ไข
เหตุที่มีคนนำปืนเข้าไปในศาลได้ นำสารประกอบระเบิดเข้ารัฐสภาได้ และเคยมีคนทดลองนำระเบิดเข้าในสนามบินชั้นในก่อนขึ้นเครื่องบินได้ สะท้อนความหละหลวมของหน่วยงานอย่างยิ่ง และเมื่อตรวจพบความหย่อนยานก็จะอ้างขาดกำลังคน ขาดงบประมาณในการซื้อเทคโนโลยีเครื่องตรวจจับ แต่ความเป็นจริงเกิดจากพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ที่ไม่เอาจริงกับการตรวจตราเพื่อความปลอดภัย
เท่าที่เคยพบเห็นด้วยตัวเอง ก็มีเหตุผลหลายประการ ดังนี้
(1) เจ้าหน้าที่รู้สึกเกรงใจ อึดอัดใจ ที่จะตรวจร่างกายผู้บังคับบัญชา เจ้านาย หรือคนรู้จัก ถือว่าให้เกียรติและหากตรวจตัว อาจถูกกล่าวหาได้ว่าไม่ไว้ใจเจ้านายและกลัวเจ้านายจะโกรธ
ผมเคยประชุมร่วมกับหน่วยงานความปลอดภัยของสนามบิน Heathrow ประเทศอังกฤษ เขาแจ้งว่ามีอยู่คนเดียวที่เขาไม่ตรวจตัวผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่องบินคือ สมเด็จพระราชินีนาถของอังกฤษ นอกนั้นตรวจหมดทุกคนรวมถึงผู้ติดตามทุกคนด้วย
(2) ทางเข้า-ออกศาล รัฐสภา สนามบิน และหน่วยงานต่างๆ มีหลายช่องทาง เพราะเป็นช่องทางสำหรับบุคคลพิเศษ หรือเป็นช่องทางส่งของ
รัฐสภาแห่งใหม่ อาคารสุริยัน หากจะมีผู้นำอาวุธหรือวัตถุระเบิดเข้าไปในอาคาร โดยผ่านที่จอดรถชั้น B2 จะไม่พบการตรวจอาวุธแต่อย่างใด
ศาลยุติธรรมบางแห่งจะมีทางเข้าและลิฟต์จากด้านหลังอาคาร ที่ผู้พิพากษาและคนนั่งวีลแชร์ขึ้น โดยไม่ผ่านการตรวจอาวุธ
ที่สนามบินทุกแห่ง รวมทั้งสุวรรณภูมิ มีร้านค้าอยู่ด้านในห้องผู้โดยสารขาออก ซึ่งมีจำนวนร้านค้าค่อนข้างมาก เมื่อผู้โดยสารถูกตรวจตัว ตรวจอาวุธแล้ว ยังไปซื้อสินค้าและอาหารด้านในได้อีกหลายสิบร้าน ร้านเหล่านี้ต้องนำสินค้า อาหาร เข้าและขึ้นทางลิฟต์พิเศษด้านหลังของอาคาร ผ่านการตรวจบ้างไม่ตรวจบ้างเจ้าหน้าที่ก็อ้างมีปริมาณข้าวของเครื่องใช้จำนวนมาก
อย่าปล่อยให้เกิดโศกนาฏกรรมกับรัฐสภา ศาลสนามบิน ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่ประเทศของเราจะเห็นความสำคัญและเอาจริงกับเรื่องความปลอดภัยเลยครับ
6.ศาสนาต่างๆ โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ที่พระต้องรีบเร่งประเมินตนเองว่า จะช่วยลดความรุนแรงในสังคมได้อย่างไรบ้าง ทั้งเรื่องความรุนแรงด้วยวาจา ด้วยความคิด รวมทั้งความรุนแรงด้วยการทำร้ายร่างกาย
ที่ผ่านมา พระและหน่วยงานทางศาสนาใส่ใจลดพฤติกรรมความรุนแรงของคนในสังคมมากน้อยแค่ไหน ?
ความรุนแรงเปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์พืช จะเจริญงอกงามแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปเรื่อยๆ หากไม่หยุดยั้ง ความรุนแรงจะเพิ่มปริมาณและชนิดมากขึ้น
ลูกเห็นพ่อทะเลาะตบตีแม่ เห็นพี่ด่าทอตบตีน้องก็ฝังในความจำและความเคยชิน
พี่น้องแย่งมรดก ขัดแย้งผลประโยชน์ ก็ยิงกันในศาล
ขับรถขวางทาง ปาดหน้าหรือจอดขวาง ก็ลงมาด่าทอชกต่อย ยิงกัน หรือเอาขวานมาจามรถที่จอดขวาง
ชุมนุมเรียกร้อง ประท้วง ก็เอา M79 และปืนไล่ยิงบางรายก็เผายาง เผาตึก เผาศาลากลาง
ยึดอำนาจการปกครอง ก็ด้วยข้ออ้างที่มีคนใช้ความรุนแรง และอ้างว่าต้องใช้ความรุนแรงปราบความรุนแรง สอดคล้องกับประชาชนที่คิดว่าปืนคืออำนาจ
สื่อมวลชนบางสำนักและโซเชียลมีเดียก็ใช้ความรุนแรงด้วยวาจา
เลือกสนับสนุน เลือกด่าว่า ให้เกิดความเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม
เราจะอยู่กันอย่างนี้ต่อไปและตลอดไป ใช่ไหมครับ!
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี