แนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา...
■■ ดูกรพราหมณ์ บัดนี้เราทรงราชภาระครองแผ่นดินโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและสุขแห่งมหาชน เราแผ่ราชอาณาจักรเหนือท่านทั้งหลายกับโรคสมบัติเป็นที่พึ่งจัดการปกครองรักษาป้องกันอันเปนธรรมสืบไป ท่านทั้งหลายจงวางใจอยู่ตามสบาย เทอญ (พระปฐมบรมราชโองการพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ 11 พฤศจิกายน 2453)...
■■ เรื่องวุ่นวายไร้สาระอันเกิดมาจากน้ำมือและน้ำคำของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยบางคน รวมถึงสมาชิกวุฒิสภาของไทยบางคน คือมูลเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยบังเกิดอาการเบื่อหน่ายและรังเกียจการเมืองไทย โดยเฉพาะการทำสงครามน้ำลายกันไปมาตลอดเวลา อันที่จริง สส. และ สว. จำพวกดีแต่แกว่งปาก จำเป็นจะต้องสำเหนียกตัวเองว่า ที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ คนพรรค์อย่างว่านั้นมิได้มีประโยชน์ใดๆ ต่อสังคมไทยเลยแม้แต่น้อย ยิ่งออกมาสาดน้ำลายใส่กันไปมาก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของรัฐสภาไทยตกต่ำลงเป็นลำดับ แค่คนไทยที่มีสติปัญญาได้เห็นหน้าตาของ สส. และ สว. จำพวกดังกล่าว คนไทยก็รู้สึกหมดหวังและหดหู่กับการเมืองไทย คงไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อคนพรรค์อย่างว่านั้น เพราะแค่พูดเพียงเท่านี้ คอการเมืองไทยก็เห็นหน้าตาและพฤติกรรมที่สุดแสนน่าขยะแขยงลอยขึ้นมาอย่างเด่นชัด...
■■ ผลงานของคณะรัฐมนตรีที่ดูแลด้านเศรษฐกิจของประเทศ ถูกระบุโดยคนส่วนใหญ่ของประเทศไทยว่าอยู่ในขั้นล้มเหลวจนเกือบจะเรียกได้ว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ความล้มเหลวดังกล่าวนี้ แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ ดังจะเห็นได้ว่านายกรัฐมนตรีเคยกล่าวทำนองว่าจะต้องมีการยกเครื่องรัฐมนตรีเศรษฐกิจ...
■■ ปัจจุบันตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจตกอยู่ในความดูแลของนายกรัฐมนตรี แต่ทุกคนรู้ดีว่านายกรัฐมนตรีมิได้มีความรู้ความสามารถในด้านเศรษฐกิจ ส่วนคนที่ยังดูเสมือนว่าทำหน้าที่เป็นหัวเรือของคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ก็คือ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี...
■■ แต่สำหรับคนที่รู้จักฝีมือการทำงานด้านเศรษฐกิจของรองนายกฯ สมคิด เป็นอย่างดี ต่างก็ให้ความเห็นตรงกันว่า รองนายกฯ สมคิดมีแค่เพียงภาพที่ถูกสร้างขึ้นมาว่าเป็นซาร์เศรษฐกิจ แต่ภาพที่ถูกสร้างขึ้นกับภาพของความเป็นจริงเป็นหนังคนละม้วน เพราะไม่ว่าจะสร้างภาพขึ้นมามากมายสักเพียงใด แต่ความจริงก็ยังเป็นความจริงวันยังค่ำ คือเศรษฐกิจของไทยยังคงเสื่อมและทรุดลงเป็นลำดับ...
■■ ข้อเท็จจริงที่รัฐบาลชุดปัจจุบันไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ ตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของปี 2562ไม่มีทางถึง 3% อย่างแน่นอน...
■■ มีคำถามว่าอะไรคืออุปสรรคขัดขวาง ที่ส่งผลให้ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยไม่บรรลุเป้า 3% ตามที่รัฐบาลเคยตั้งเป้าและเคยประกาศไว้ คำตอบในเรื่องนี้ที่คอการเมืองไทยซึ่งติดตามประเด็นทางเศรษฐกิจบอกได้ตรงกันก็คือ เป็นเพราะการทำงานของคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดปัจจุบันไร้ทิศ ผิดทาง และไม่มีเอกภาพ...
■■ ไม่ต้องดูอะไรมาก แค่ดูจากโครงการหว่านเงินของรัฐบาลที่ใช้ชื่อว่า ชิม ช้อป ใช้ ที่ดูเสมือนว่าสร้างเสียงฮือฮาให้กับคนในสังคมได้อย่างมากมาย แต่ทว่าเสียงที่ส่งออกมาก็เป็นแค่เพียงเสียงธรรมดา แต่ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้อย่างเป็นรูปธรรม...
■■ ข้อเท็จจริงที่รัฐบาลชุดนี้สมควรจะต้องรู้ตัวเป็นอย่างดีก็คือ ไม่มีความสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตขึ้นมาได้ เพราะเมื่อดูจากตัวเลขการส่งสินค้าออกของไทย ก็จะพบว่าติดลบอย่างแน่นอน ส่วนจะติดลบสอง หรือติดลบน้อยกว่าสอง ก็ต้องถือว่าติดลบทั้งสิ้น ขนาดปัญหาการส่งออกของไทยติดลบหนักถึงเพียงนี้ ก็ยังไม่พบว่าคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจจะนัดประชุมหารือร่วมกัน เพื่อกำหนดแนวทางแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม แต่ก็มีแค่เพียงเสียงบ่นว่าปัญหานี้เกิดมาจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกา ซึ่งก็ได้แค่เพียงบ่น แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆได้เลยแม้แต่น้อย...
■■ เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกินเลย ที่มีเสียงวิจารณ์อย่างหนาหูว่า ขณะนี้คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจของไทยหมดปัญญา และหมดน้ำยาที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว...■■
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี