สังคมโลก รวมถึงประเทศไทยได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการช่วยเหลือเด็กยากจน ผู้ด้อยโอกาสถึงกับเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยมีกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เป็นองค์กรสำคัญที่ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องดังกล่าว ซึ่งล่าสุดได้รายงานผลการทำงานต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา รับทราบแล้ว ซึ่งทั้ง 2 สภาให้ความสนใจและห่วงใย ว่าจะดำเนินการได้มากน้อยแค่ไหนเพราะได้รับงบประมาณน้อยเกินไป
มีข้อมูลน่าสนใจในเรื่องดังกล่าวคือ ในวงสัมมนาหัวข้อ “ก้าวต่อไปของการช่วยเหลือนักเรียนยากจนพิเศษ” ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผอ.ส่วนการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ร่วมเสวนาด้วยให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมา กสศ.ได้เชิญกระทรวงการคลังไปให้ข้อเสนอแนะเรื่องการดำเนินการช่วยเหลือเด็กยากจนมาโดยตลอด และได้มีการหารือร่วมกัน
โดยเฉพาะแนวทางการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยจำนวน 14.6 ล้านคน ซึ่งในกลุ่มนี้ราว 10.8 ล้านคน เป็นกลุ่มที่มีรายได้อยู่ใต้เส้นความยากจน และในจำนวนนี้ ราว 1.2 ล้านคน ได้มาลงทะเบียนระบุว่ามีบุตร โดยจำนวนประชากรอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่เป็นบุตรของพ่อแม่ที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนกลุ่มนี้ มีอยู่ประมาณ 1.7 ล้านคนกระจายตัวอยู่ในกลุ่มครอบครัว ดังนี้ 1.กลุ่ม A รายได้ครอบครัว 0-10,000 บาทต่อปี มีจำนวน 888,000 คน2.กลุ่ม B รายได้ครอบครัว 10,001-20,000 บาทต่อปีมีจำนวน 360, 000 คน และ 3.กลุ่ม C รายได้ครอบครัว20,001-30,000 บาทต่อปี มีจำนวน 450,000 คน
ทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง มีข้อมูลพ่อแม่ และชื่อ ที่อยู่ของเด็กทั้งหมด ในอนาคต เมื่อหารือกับท่านปลัดกระทรวงการคลัง และมีการ MOU ร่วมกันระหว่าง ก.คลัง และกสศ. ก็สามารถนำข้อมูลกระทรวงการคลังไปศึกษาวิเคราะห์ ออกนโยบายลดความเหลื่อมล้ำร่วมกัน จะเป็นประโยชน์กับทั้งสองหน่วยงาน ทางกสศ. จะได้ชื่อของพ่อแม่ของเด็กๆ ที่ยากจนในทุกพื้นที่ กสศ.ที่ช่วยเหลือ ซึ่งอาจเกิดการตกหล่น ถ้าเอารายชื่อก.คลัง ไปเทียบตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง กสศ.สามารถเดินเคาะประตูบ้าน ถึงตัวเด็กได้จริง เราอยากช่วยให้สวัสดิการที่รัฐบาลได้ดำเนินการผ่านหน่วยงานต่างๆ ไปถึงพ่อแม่ของเด็กยากจนจริงๆ เพื่ออานิสงส์จะไปถึงลูกของคนกลุ่มนี้ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เป็นเครื่องยืนยันว่ารัฐบาลไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รวมถึงเป็นการขจัดความยากจนไม่ให้ส่งต่อไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานอีกด้วย
ในขณะที่ ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการ กสศ. ระบุเร็วๆ นี้ ทางกสศ.จะเข้าพบ ปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อขยายผลความร่วมมือการทำงานด้านฐานข้อมูล ทั้งในส่วนฐานข้อมูลนักเรียนยากจนพิเศษกว่า 7 แสนคน จากระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ของกสศ. และฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยของก.คลัง เมื่อข้อมูลของทั้งสองหน่วยงานเชื่อมต่อกันจะสามารถติดตามและตรวจสอบความถูกต้อง ได้ตลอดวงจรความช่วยเหลือ ทั้งครอบครัว พ่อแม่ลูก เพื่อช่วยกันหยุดความยากจนข้ามชั่วคน ไม่ให้ส่งต่อไปถึงรุ่นลูกหลาน
นอกจากนั้น กสศ. ยังสนใจที่จะร่วมทำงานด้านข้อมูลกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โดยเฉพาะการใช้ Big Data ของทั้ง 2 หน่วยงาน มาบูรณาการปรับปรุงมาตรการลดความเหลื่อมล้ำในมิติต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น
ดร.ไกรยส กล่าวว่า กสศ. ตั้งใจจะทำงานคือร่วมมือกับภาคีให้มากขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการทำงานวิจัยที่มีความลุ่มลึกมากขึ้น การจัดสรรความช่วยเหลือไปถึงมือเด็กไม่ใช่เป็นจุดสิ้นสุด แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งมีมิติหลายอย่างไม่ใช่แค่โจทย์เฉพาะทางเศรษฐศาสตร์ ยังจะต้องทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หรือกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมถึงความร่วมมือ องค์การสหประชาชาติ องค์การยูเนสโกและ ศูนย์วิจัย J-PAL แห่งมหาวิทยาลัย MIT เพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านการประเมินผลโครงการด้วยกระบวนการที่มีมาตรฐานได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ เพื่อนำกลับมาปรับปรุงการทำงานของ กสศ. ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นในอนาคต
ก็ต้องจับตา กสศ.สักวันหนึ่งมีโอกาสคว้ารางวัลระดับโลก ในฐานะที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ด้อยโอกาส
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี