“หนังสือพิมพ์แนวหน้า” จรรยาบรรณ-อุดมการณ์ มั่นคง ตรงไป ตรงมา ฉบับนี้ “ไม้หน้าสาม” ทำหน้าที่ถักทอข้อเท็จจริงสกัด “เดรัจฉานการเมือง” ที่เอาตำแหน่ง “อำมาตย์-เสนาบดี” มาสร้างผลประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้อง “ไม้หน้าสาม” ขอยึดผลประโยชน์ประชาชนและข้อเท็จจริง เป็นที่ตั้ง “เปิดปฏิบัติการตีแสกหน้า-พร้อมสาปแช่ง-นักการเมืองลวงโลก-พรรคพวก-ลิ่วล้อ” ส่งท้ายเดือนพฤศจิกายน 2562 อย่างไม่เกรงใจใครหน้าไหน...
nn หากเรื่องที่จะกล่าวนี้เป็นภาพยนตร์ก็ต้องเป็นเสมือนหนังฟอร์มยักษ์ที่ตื่นเต้นเร้าใจลงทุนออกมารยาเสแสร้งมหาศาล แบ่งภาคให้ซีกหนึ่งแสดงบทบาทพระเอก ประหนึ่งเป็น “ผู้พิทักษ์ปกป้องมนุษยชาติจากสารเคมีอันตราย” โยนบทบาทวายร้ายให้ “กลุ่มนายทุนสามานย์เดิมค้าความตาย” ผลสัมฤทธิ์กำลังจะสวยหรูจาก “มติคณะกรรมการวัตถุอันตราย” ที่ “แบน 3 สารเคมีเกษตรพิษ-พาราควอต, คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต” แต่เพราะ ... ความลับไม่มีอยู่จริง “ไม้หน้าสาม” เลยทราบมาว่า “สุนัข” บางตัวที่ไม่รู้ว่า “นักบุญ หรือ โจรบาป”ออกอาการอ้าปากรอ “ชิ้นหมู” ที่ถูกเตะทิ้งกลิ้งมาเข้าปากอยู่ “ไม้หน้าสาม” ขอชำแหละให้ท่านผู้มีอุปการคุณได้บริโภคข้อมูลได้เห็นภาพกันชัดๆ กันดีกว่า เพราะ “ความลับ..ไม่มีอยู่จริง” ต่อให้ใช้ “วิตามินเอ็ม” ตีหัวสื่อสำนักเล็ก-ใหญ่ จัดสรรตั๋วรายเดือน-รายจ๊อบ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ดีลนี้ เริ่มจากการโหมนโยบายแบน 3 สารเคมีที่กล่าวมาข้างต้น แม้การขับเคลื่อนประเด็นร้อนแรงนี้ จะไม่อยู่ในนโยบายหาเสียงของพรรคภูมิใจไทยที่ได้ดิบได้ดีลืมตาอ้าปากได้ เพราะ “อานิสงส์นโยบายกัญชาเสรี..ปลูกครัวเรือนละ6 ต้น ฟันกำไรปีละกว่า 4 แสนบาทต่อครัวเรือน” ที่หลายฝ่ายเคยปรามาสว่าเป็นนโยบาย “ขายฝัน” ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง!!! ก็ตาม แต่ “เสี่ยหนู-อนุทินชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย” ก็ยืนกรานหนักแน่นตลอดเวลาว่า “ทำได้จริงถ้าพรรคภูมิใจไทยทำไม่ได้ก็คงจะสูญพันธุ์แน่” ไม่นานควันกลิ่นกัญชาก็จางหายไปจากความฝันของผู้ที่สนับสนุนเสี่ยหนู แต่กลับมีเรื่องนโยบายเร่งด่วนเต้น “แบน3 สารเคมี” มาทดแทนกัญชาเสรี โหมโรงชนิดเอาเป็นเอาตาย ต้องทำให้ได้ ทั้งขู่ทั้งปลอบข้าราชการประจำขวัญหนีดีฝ่อไปตามกัน จนคณะกรรมการควบคุมวัตถุอันตรายต้องพลิกลิ้นมีมติ “แบน 3 สารเคมีตามบัญชา” แม้จะเป็นการทำงานข้ามห้วยข้ามกระทรวงก็ตามที...
nn “ไม้หน้าสาม” ขอลำดับความให้เข้าใจง่ายๆ ถึงเหตุผลที่เสี่ยหนู และสมาชิกภูมิใจไทยมีความมุ่งมั่นแบน 3 สารนี้ เพราะต้องการปกป้องดูแลสุขภาพพี่น้องประชาชน ตลอดจนเกษตรกรที่ใช้สารเคมีอันตรายเหล่านี้ พร้อมหยิบยกข้อมูลความเจ็บไข้ได้ป่วยจากโรคร้ายที่เกิดจากการบริโภคพืชผักผลไม้ปนเปื้อนสารเคมี นี่คือเรือธงของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ในฐานะเจ้ากระทรวงสาธารณสุขที่ส่งไม้ไปยังลูกพรรค “มนัญญา ไทยเศรษฐ์” รมช.เกษตรและสหกรณ์ ขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน จนมีการแถลงข่าวใหญ่ “แบน 3 สาร จะมีผลในวันที่ 1 ธันวาคมนี้”แน่นอนเรื่องนี้มีผู้ที่สนับสนุน และคัดค้านในเวลาเดียวกัน ฝ่ายสนับสนุนก็เชียร์เสี่ยหนูว่าทำถูกทางแล้ว และไม่ต้องการให้คนไทยตกเป็นเหยื่อสารเคมีอันตรายนี้อีกต่อไป ถือเป็นก้าวย่างสำคัญในการดูแลสุขภาพประชาชนตั้งแต่ต้นน้ำ ในขณะที่อีกฝ่ายออกมาคัดค้าน ก็คือบรรดาพี่น้องเกษตรกรที่ใช้ 3 สารเคมี ประหนึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้าน พร้อมกับให้เหตุผลว่า หากอันตรายจริงพวกเขาคงตายไปนานแล้ว อีกทั้งรัฐบาลไม่มีมาตรการใดรองรับความเดือดร้อนของเกษตรกรที่ต้องใช้สารเคมีตัวใหม่ที่มีราคาแพงหลายเท่าตัว และไม่มีประสิทธิภาพเท่าสารเคมีเดิมที่มีราคาถูก และความเห็นทางเลือกที่สามก็คือ “หันหลังให้กับสารเคมีทุกชนิด-เสนอเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ”...
nn ซ้ำยังตั้งคำถามชวนให้ขบคิดว่า “มันเป็นเรื่องตลกร้าย หรือโง่เขลาเบาปัญญากันแน่ สั่งแบน 3 สารเคมี แต่กลับพยายามค้นหาสารเคมีตัวอื่นมาทดแทน” โดยไม่มีงานวิจัยใดรองรับเลยว่า “สารเคมีที่จะนำมาทดแทนนี้ไม่มีอันตราย” ในวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ ประเทศไทยควรพลิกฟื้นคุณภาพดินส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ น้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 มาใช้ ซึ่งตลาดสุขภาพยังเปิดกว้าง ชาวโลกตื่นตัวยอมควักกระเป๋าจ่ายแพงกว่าซื้อผลผลิตจากอินทรีย์ และที่ “ไม้หน้าสาม” ยังติดใจอยู่ลึกๆ ก็คือ ประชาพิจารณ์สนับสนุนแบน 3 สารมีแค่ 25% ส่วนคัดค้านมีมากถึง 75% แล้วไฉนพรรคภูมิใจไทย “เสี่ยหนู”จึงไม่นำพาเร่งรีบขีดเส้นตายต้อง “แบนภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2562”...
nn เป็นธรรมดาของภาพยนตร์ฟอร์มโต ที่ลงทุนสร้างด้วยเม็ดเงินมหาศาล จะจบลงแบบให้คนดูคาดเดาได้มันก็ไม่คุ้มกับค่าตั๋ว “3 สารเคมีเกษตรอันตราย” ยังไม่ตาย เมื่อ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รัฐมนตรีว่ากระทรวงอุตสาหกรรม จากพรรคพลังประชารัฐ นั่งเป็นประธานหัวโต๊ะประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติล้มกระดานภูมิใจไทยไม่เป็นท่าโดย “ยกเลิกแบนสารไกลโฟเซต” และชะลอการแบน “พาราควอต และคลอร์ไพริฟอส”ออกไปเป็น 1 มิถุนายน 2563 ดอกพิกุลร่วงจากปาก “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ว่า เหตุผลเป็น เพราะจะกระทบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์มูลค่านับแสนล้านบาทต่อปี ซึ่งหากไทยแบนไกลโฟเซต ก็จะไม่สามารถนำเข้าอาหารสัตว์ เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพดจากต่างประเทศที่ใช้สารนี้ในภาคเกษตรกรได้ จะส่งผลเสียหายเป็นวงกว้างกับปศุสัตว์ไม่มีวัตถุดิบผลิตอาหารเสี้ยงสัตว์...
nn “ไม้หน้าสาม” คิดว่าเป็นเหตุผลที่พอฟังขึ้นบ้าง แต่ “เสี่ยหนู” จะแสดงท่าทีอย่างไรกับเรื่องนี้ นักข่าวต่างพากันไปซักถามหาคำตอบกันจ้าละหวั่นว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” หรือไม่ จะส่งผลต่อการร่วมรัฐบาลหรือไม่ เพราะมตินี้อิงแอบกับ 2 รัฐมนตรี “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” และ “เสี่ยต่อ-เฉลิมชัย ศรีอ่อน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ จากพรรคประชาธิปัตย์ คำตอบที่ได้รับจากปาก “เสี่ยหนู” ก็คือ เป็นเรื่องระดับคณะกรรมการ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง และคงไม่มีอะไร ก็ต้องว่าไปตามมติคณะกรรมการ แต่ดูเหมือนว่า “ชาดา ไทยเศรษฐ์” สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ผู้ที่เคยมีรายชื่อติดโผเป็นรมช.เกษตรฯ แต่ถูกกระแสผู้ทรงอิทธิพลฉาบทา จึงจำต้องสละเรือให้มนัญญาน้องสาวเสียบแทน ถึงกับควันออกหูระบุว่า หากเกิดอะไรขึ้นต่อประเทศนี้ในเรื่องของสารพิษ คณะกรรมการชุดนี้ ต้องตอบคำถามสังคมถึงเหตุผลไม่แบนสารอันตราย และหากเห็นว่าไม่อันตรายก็ให้นำกลับไปกินกันที่บ้านเลยดีไหม????...
nn “ไม้หน้าสาม” ยกกรณี 3 สารอันตราย เทียบหนังฟอร์มยักษ์ แต่ เบื้องลึกเบื้องลับ ยังมีอะไรซ่อนเงื่อนรอวันที่จะเปิดเผยอีกมาก โดยเฉพาะความพยายามของฝ่ายการเมืองบางคนบางกลุ่มที่วางตนเป็น “นักบุญ” แต่เบื้องหลังแปดเปื้อนโสมม หรือไม่ก็มีบริวารเป็นพิษ เพราะได้ข่าวแว่วๆ มา 3-4 ปีแล้ว ว่า “กุ๊ยสถุลติ่งต่ำทรามบางตัว” ที่คอยเดินหิ้วกระเป๋าเงินให้กับนักการเมืองใหญ่คนดังย่านอีสานใต้ อักษรย่อ “จ.หรือเสี่ยจ.” สั่งลูกน้อง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน...เป็นอดีตกระจอกข่าวประเภท “สิงสาราสัตว์” เหมือนเสี่ยจ.นี่แหละ เปิดบริษัทตั้งแท่นนำเข้าสารเคมีทดแทน 3 สารนี้ ความนี้พิสูจน์ทราบได้ไม่ยากจาก “กรมพัฒนาธุรกิจการค้า”ที่มี “กำนันป้อ-วีระศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล-ก๊วนภูมิใจไทย”เป็นรัฐมนตรีกำกับดูแลอยู่ได้ว่า “ข้อเท็จจริง” นี้บิดเบือนหรือไม่อย่างไร...
nn ถือเป็นไฮไลท์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่คนดูจะต้องตาค้าง สับสน ไม่รู้ว่าใครดี ใครชั่วกันแน่???ด้วยพื้นที่กระดาษหนังสือพิมพ์มีจำกัด อดใจรออีกระยะ ไว้มีโอกาสเหมาะๆ “ไม้หน้าสาม”จะเอาชื่อแซ่กรรมการบริษัทอัปยศแห่งนี้มาตีแผ่ให้รู้กันว่า ใครกันแน่ ที่ค้าความตาย หรือว่าเรื่องนี้มีแต่ “ความบัดซบ-จัญไรของคนโลภ” ที่สะกดคำว่า “พอ” ไม่เป็นมามีอำนาจอยู่ในสังคมไทยเยี่ยงนี้...nn
ไม้หน้าสาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี