ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในรัฐสภาของเรา สะท้อนภาพที่ฝ่ายนิติบัญญัติส่วนหนึ่งไม่ประสงค์จะทำหน้าที่ตรวจสอบ ประสงค์แต่จะปกป้องรัฐบาลอย่างออกนอกหน้า สะท้อนภาพการเมืองเรื่องการสืบทอดอำนาจของคณะ คสช. ชัดเจนมากยิ่งขึ้นอย่างน้อย 4 ประการ
1.มีการเปลี่ยนตัว สส. ผู้ทำหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบ ในกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ 2 คน นำ สส. 2 คนใหม่ที่มีชื่อเสียงระดับสื่อมวลชนเรียก “ตัวจี๊ด” เข้ามาป่วนในกรรมาธิการจนไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอันอยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้ก็เพื่อกีดขวางกรรมาธิการไม่ให้ตรวจสอบนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ และรองนายกฯ พล.อ.ประวิตร เสมือนลูกน้องที่ปกป้องนายในระบบอุปถัมภ์ด้วยความภาคภูมิใจ โดยลืมว่าตนเป็นตัวแทนของประชาชนที่อยู่ฝ่ายนิติบัญญัติ
2.การที่พรรคการเมืองฝ่ายค้าน จะขอตรวจสอบโดยเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ บรรดาองครักษ์พิทักษ์รัฐบาลประยุทธ์ก็ออกมาปกป้อง อ้างว่าเพิ่งจะทำงานได้เพียง 6-7 เดือน ยังไม่มีผลงานให้ตรวจสอบจะรีบตรวจสอบไปทำไม
บ้างก็อ้างว่ารัฐธรรมนูญกำหนดให้เปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจได้ปีละหนึ่งครั้ง ก็ให้ตีความว่าปีละหนึ่งครั้ง หมายถึงปีที่รัฐบาลอยู่ในอำนาจ ไม่ใช่ปีตามปฏิทิน หรือปีของการประชุมสภา
การที่ฝ่ายค้านอ้างว่า การดำเนินงานของรัฐบาลปัจจุบันก่อให้เกิดความเสียหายสืบมาแต่รัฐบาลประยุทธ์เดิมที่มาจาก คสช. ซึ่งตัวรัฐมนตรีที่ดำเนินงานที่สำคัญก็ซ้ำหน้าชุดก่อน ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ คุณสมคิด คุณอุตตม คุณสนธิรัตน์ เป็นต้น
แต่ สส. ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลก็ออกมาอ้างว่ารัฐบาลประยุทธ์ครั้งนี้มาจากการเลือกตั้ง ไม่เกี่ยวกันกับรัฐบาลประยุทธ์เดิม
สส.พรรคพลังประชารัฐจึงมีภาพของผู้ที่ทำหน้าที่ปกป้องรัฐบาลเด่นชัดมากขึ้น
3.การที่ สส. จำนวนหนึ่งเสนอให้ตั้งกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อศึกษาผลกระทบของการออกคำสั่งตาม ม. 44 ที่นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ควบตำแหน่งหัวหน้า คสช. เคยออกคำสั่งไว้
ถ้าพูดกันทางวิชาการ การศึกษาผลกระทบจากคำสั่งตาม ม. 44 ที่มีมากกว่า 200 ฉบับ เป็นสิ่งสำคัญ ประชาชนและตัวแทนของประชาชนจำเป็นต้องรู้ เพราะจะทำให้สังคมได้เข้าใจว่าการที่บุคคลคณะหนึ่งจะมีคำสั่งเป็นเด็ดขาด ทุกคนและทุกองค์กรต้องปฏิบัติตามได้ส่งผลกระทบต่อประเทศในทางที่ดีหรือผลกระทบในด้านร้ายอย่างไรบ้าง ส่วนที่ดีก็จะได้ออกกฎหมายให้เป็นไปตามคำสั่งดังกล่าว ส่วนที่ให้ผลร้ายก็จะได้เยียวยาและแก้ไขต่อไป
คำสั่งตาม ม. 44 ที่มีมากกว่า 200 ฉบับ ถ้ายังพอจำได้ก็มีหลายประเภท เช่น
(1) สั่งปลดโยกย้ายแต่งตั้งบุคคลให้ทำหน้าที่ในตำแหน่งหรือไม่ให้ทำหน้าที่ในตำแหน่ง เช่น ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าการเมืองพัทยา นายก อบจ. นายกเทศมนตรี นายก อบต. แต่งตั้งโยกย้ายบุคลากรในคุรุสภาและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวกับครู
นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งให้กรรมการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญบางคน ต้องพ้นจากตำแหน่งเช่น กกต. บางคน
และประเภทที่ให้ทำหน้าที่ต่อไป แม้จะครบอายุหรือครบเทอมการทำหน้าที่ เช่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
(2) สั่งให้หน่วยงานหรือข้าราชการกระทำ หรืองดเว้นการกระทำตามหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น
การให้ทหารมีอำนาจจับกุมผู้ต้องสงสัย ตั้งข้อหาดำเนินคดีไม่เฉพาะคดีการเมือง รวมถึงคดียาเสพติดและยกเว้นความผิดในสิ่งที่เจ้าหน้าที่อาจกระทำผิด
ในเขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีการยกเว้นการใช้ผังเมือง ข้ามขั้นตอนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ควบคุมสื่อมวลชน โดยให้ กสทช. ควบคุมเนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง ขยายเวลาถือครองคลื่นความถี่ เปลี่ยนแปลงขั้นตอนการสรรหา กสทช. และยุบวิทยุชุมชน โทรทัศน์ดาวเทียม
จัดการกับประมงผิดกฎหมายและแรงงานข้ามชาติโดยปลดโยกย้ายข้าราชการ ผ่อนผันการจดทะเบียนแรงงาน เพื่อสร้างการยอมรับจากต่างชาติ
มีคำสั่งห้ามนั่งท้ายรถปิกอัพและสุดท้ายต้องออกคำสั่งยกเลิกเมื่อได้รับการต่อต้านจากประชาชนคนชนบท
มีการควบคุมการเลือกตั้งแก้ไขกฎหมายเลือกตั้ง ยกเลิกการทำ primary vote สั่งห้ามหาเสียงออนไลน์ และที่สำคัญให้อำนาจ กกต. แบ่งเขตเลือกตั้งใหม่โดยไม่ต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์เดิม
จึงเป็นที่น่าเสียดายที่บรรดา สส. ของพรรคร่วมรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่ได้คิดถึงประโยชน์ของการศึกษาในเรื่องนี้ แต่มุ่งประเด็นไปที่การปกป้องผู้นำรัฐบาลและรัฐมนตรีที่เป็นชุดเดียวกันกับชุดที่ออกคำสั่งตาม ม. 44 เพราะเกรงจะถูกผลกระทบจากผลของการศึกษาและไม่สนใจที่จะได้รู้ถึงผลกระทบของคำสั่งตาม ม.44 ที่มีต่อประชาชน
สส. พรรคประชาธิปัตย์ 6 คน ได้รับการยกย่องที่กล้าลงมติอย่างรับผิดชอบในการสนับสนุนการตั้งกรรมาธิการในครั้งนี้ แต่ก็ยังอดหวั่นใจไม่ได้ว่าเมื่อสภาผู้แทนราษฎรจะต้องมีการนับคะแนนใหม่ด้วยการขานชื่อทีละคน สส. ทั้ง 6 คน รวมประชาธิปัตย์จะกล้าหาญแข็งขืนได้สักกี่คน
4. การตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่สะท้อนว่าฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล มีความสนใจที่จะทำงานในอำนาจหน้าที่เพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับสังคมไทยอย่างไร มีพฤติกรรมที่น่าจับตา ดังนี้
(1) แม้รัฐธรรมนูญจะเป็นกติกาสูงสุดที่กำหนดอำนาจของแต่ละฝ่ายความสัมพันธ์ขององค์กรที่สำคัญ รวมถึงทิศทางการบริหารประเทศ ความเป็นธรรมของสังคมและสิทธิเสรีภาพของประชาชน
แต่ก็มี สส. จำนวนหนึ่งพยายามขัดขวางการศึกษาโดยใช้วาทกรรมว่า แก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนดีกว่าการแก้รัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่การศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถทำควบคู่ กับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยไม่ได้ขัดแย้งกัน
ตรงกันข้าม การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เหมาะสมกับสังคมไทยกลับจะทำให้ประเทศไทยรุดหน้าพัฒนาไปกว่านี้
(2) รัฐบาลได้แถลงนโยบายเมื่อแรกเข้ารับตำแหน่งว่าจะศึกษาและแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้จะเข้าใจได้ว่าพรรคแกนนำรัฐบาลอาจจำต้องกำหนดนโยบายเพื่อเอาใจหรือยอมตามพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้เคยประกาศเป็นจุดยืนอุดมการณ์ของพรรคเป็นสัญญาประชาคมเมื่อครั้งเลือกตั้งที่ผ่านมา
พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้แสดงออกถึงความไม่ต้องการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ทำให้ตนได้เป็นรัฐบาลและได้เปรียบในทางการเมืองด้วยกฎกติกาหลายอย่าง โดยเฉพาะที่มาและอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาในยุคปัจจุบัน จึงได้พยายามเตะถ่วงการดำเนินการและแสดงออกหลายอย่างที่จะไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้นำการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ
(3) พรรคประชาธิปัตย์ได้มีมติพรรคเสนอให้อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคคนก่อน เป็นประธานคณะกรรมาธิการที่จะได้ศึกษาในเรื่องนี้ แต่เมื่อพรรคพลังประชารัฐและคนในรัฐบาลแสดงความลังเลที่จะสนับสนุน พรรคประชาธิปัตย์ก็เปลี่ยนมติ ปลดอดีตนายกฯอภิสิทธิ์จากรายชื่อที่เคยเสนอเป็นกรรมาธิการ โดยอ้างว่าเสนอไปก็อาจไม่ได้รับเลือกเป็นประธาน
ในความจริง อดีตนายกฯอภิสิทธิ์มีคุณสมบัติครบถ้วนยากที่พลังประชารัฐจะเสนอผู้ใดในพรรคเข้าเทียบเคียง หากประชาธิปัตย์ที่อ้างว่าเป็นยุคใหม่จะได้ยืนยันมติเดิมของพรรคก็จะดูดีกว่านี้ และที่สำคัญพรรคก็ได้ให้สัญญาประชาคมในครั้งที่มีการเลือกตั้งว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ
น่าเสียดายที่พรรคประชาธิปัตย์ยุคใหม่ให้ความสำคัญกับมารยาทการร่วมรัฐบาล (คงเพราะอยากร่วมเป็นรัฐบาล) มากกว่ามติพรรค และมากกว่าสัญญาประชาคม จึงได้กลับมติเสียใหม่
ดังนั้น เมื่อคนระดับหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เดินและยืนขนาบข้าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้อาวุโสของพรรคอย่าง คุณพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ได้โพสต์ข้อความว่า “เห็นภาพหัวหน้าพรรคและเลขาฯพรรค ปชป. ไปเดินขนาบซ้ายขวา เป็นสมุนหัวหน้าคณะรปห. อย่างออกหน้าออกตาแล้ว รู้สึกหมดสิ้นซึ่งศักดิ์ศรีของชาวสีฟ้าจริงๆ”
อ้างว่ามาจากประชาชนแต่คุ้มกันผู้สืบอำนาจ
รู้สึกเสียดายงบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน ที่หมดไปกับการเลือกตั้งหลายพันล้านบาท
หมดไปกับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง ค่าเดินทาง ค่าใช้จ่าย ในการประชุมของทั้ง สส. และ สว. อีกเป็นหมื่นล้านบาท เพื่อให้มีภาพของประเทศไทยว่ามีรัฐบาลจากการเลือกตั้งและมีระบบตรวจสอบโดยรัฐสภา
แต่เนื้อหาไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลประยุทธ์ที่มาจากการยึดอำนาจ เว้นแต่ความมั่นคงของรัฐบาลที่ด้อยลงจนต้องมีวลี “ป้อนกล้วยให้ลิงกิน”
ต่อไปเราอาจจะได้เห็นเหตุการณ์ทางการเมือง ดังเช่นรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ในปี 2522 และ ปี 2523 ไม่ยุบสภาก็ลาออก
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี