นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนระวังเนื้อระวังตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับสื่อ เราจึงจะเห็นว่า ไม่ค่อยมีข่าวของเขาพูดพล่ามอะไรให้น่ารำคาญ จนบางทีแม้กระทั่งผลงานที่ตัวเองไปทำไว้มากมาย ยังไม่ค่อยจะพูด
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2562 นายจุรินทร์ กล่าวตอนหนึ่งในงานฝึกอบรมยุวประชาธิปัตย์ ว่า ประชาธิปัตย์ยุคปัจจุบันเดินหน้าด้วยอุดมการณ์และความทันสมัย โดยอุดมการณ์ของพรรค คือ
1.ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2.อุดมการณ์ที่ทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และทำเพื่อประชาชนคนไทยทุกคน
3.ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
ทั้งนี้ ที่ตนระบุว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยของพรรค คือแบบรัฐสภา เพราะระบบดังกล่าว ไม่เหมือนระบบประธานาธิบดี ที่เลือกมาโดยตรงจากประชาชน อยู่ครบ 4 ปี ไม่มียุบสภา, สส. และสว.เลือกเข้ามาทำหน้าที่ครบ 6 ปีเต็ม และขึ้นกับประชาชน ไม่ยึดโยงกันเหมือนระบบรัฐสภา ดังนั้น การลงมติในระบบประธานาธิบดีด้านกฎหมาย หากลงมติแพ้ หรือชนะ ไม่มีผลต่อการยุบสภา แต่ประเทศไทย รัฐบาลอยู่ได้ด้วยเสียงข้างมากในสภาฯ เพราะหากเป็นรัฐบาลมีเสียงข้างน้อย จะอยู่ไม่ได้ เมื่อถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ และต้องออกไปตามกฎหมาย หรือกรณีออกกฎหมาย แต่เสียงแพ้ ต้องยุบสภา หรือลาออก
ดังนั้น การลงมติหรือโหวตเสียงในสภาของระบบประธานาธิบดี เป็นเอกสิทธิ์ส่วนตัว จะโหวตให้รัฐบาลแพ้หรือชนะก็ได้ ไม่มีผลให้ผู้นำต้องลาออก แต่ของไทยคือระบบรัฐสภา รัฐบาลจะอยู่ได้ด้วยเสียงข้างมาก เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจึงมีความสำคัญอย่างมากกับรัฐบาล จึงต้องมีวิปรัฐบาลคอยรวบรวมเสียงให้รัฐบาลคงเสียงข้างมากไว้เสมอ ดังนั้น การเป็นรัฐบาลผสม พรรคการเมืองที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลมีสิทธิ์ที่จะมีมติพรรค แต่สุดท้ายมติพรรคต้องถูกนำไปหารือในวิปรัฐบาลเพื่อเป็นมติร่วมกัน
“เมื่อวิปรัฐบาลมีมติอย่างไร ต้องนำมาสู่ที่ประชุมพรรค หากพรรคไม่เห็นด้วยก็ต้องนำไปหารือในวิปรัฐบาลอีกครั้ง จนกว่าจะมีมติเห็นชอบร่วมกัน ซึ่งเมื่อเป็นมติของวิปรัฐบาลแล้ว ทุกพรรคจะต้องทำตาม ไม่ใช่ปฏิบัติไปตามเอกเทศของแต่ละพรรคหรือแต่ละบุคคล แต่ถ้าใครคิดว่าไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ต้องตัดสินใจทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง เนื่องจากเสียงในสภาการเคารพมติพรรค มติวิปจึงเป็นหัวใจสำคัญของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นจึงเป็นที่มาว่าทำไมต้องฟังมติพรรค มติวิป เพราะนี่คือระบอบประชาธิปไตย” นายจุรินทร์ กล่าว
แน่นอนว่า นี่เป็นการบรรยายให้แก่ผู้เข้าอบรมฟัง แต่ด้านหนึ่งก็เป็นการตอบข้อสงสัยเรื่อง การลงมติญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบการใช้มาตรา 44 ในประเด็นที่ว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์จึงโหวตออกเป็นสองทาง ส่วนมากโหวตเหมือนฝ่ายรัฐบาล คือ ไม่เห็นชอบ แต่มี 4 คน คือ 1.นายสาทิตย์วงศ์หนองเตย สส.ตรัง 2.นายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช 3.นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ สส.บัญชีรายชื่อ และ 4 นายอันวาร์ สาและสส.ปัตตานี โหวตเห็นชอบ อีก 2 คน คือ นางสาวกันตวรรณตันเถียร สส.พังงา กับนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ สส.ตาก อยู่ให้ครบองค์ประชุม แต่ออกจากที่ประชุมไม่ร่วมลงมติด้วย (ทั้ง 6 คนนี้เป็นผู้ลงชื่อเสนอญัตติดังกล่าว)
นายจุรินทร์พูดได้แค่เพียง “หลักการของรัฐบาลผสม” ใน “ระบบรัฐสภา” แต่ไม่ได้ลงไปในรายละเอียดอีกมากมายว่า ในทางปฏิบัติ “น้ำหนัก” ระหว่าง “ประโยชน์ของประชาชน” กับ“การคงอยู่ของรัฐบาล” จะชั่งกันอย่างไร
1) วิปรัฐบาลไปอยู่ที่ไหนมา ถึงไม่รู้ว่า สส. 6 คน ของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมกันลงชื่อเสนอญัตติ ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบการใช้มาตรา 44 และที่จริงยังรวมถึงประกาศคณะปฏิวัติอื่นๆ และกฎหมายที่ออกโดย สนช. ซึ่งไม่ใช่ตัวแทนของประชาชน การออกกฎหมายบางฉบับจึงไม่รอบคอบ และมีผลกระทบต่อประชาชน หากไม่เห็นด้วย หรือติดขัดประการใด ทำไมไม่โต้แย้งและขอให้ถอนญัตติเสียตั้งแต่ต้น
2) พรรคประชาธิปัตย์เอง ก็มี นายชินวรณ์ บุณยเกียรติร่วมอยู่ในวิป หรือคณะผู้ประสานงานฝ่ายรัฐบาล ขาดตกบกพร่องในการประสานกับนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาลอย่างนั้นหรือ
3) โดยหลักการปฏิบัติ กว่าที่ญัตติหนึ่งญัตติใดจะได้บรรจุเป็นวาระการประชุม หัวหน้าวิปรัฐบาลต้องตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก ครั้งนี้ไม่ได้ตรวจกันหรืออย่างไร ถึงปล่อยให้ล่วงเลยมาถึงขั้นอภิปรายในสภา จนมาถึงจุดที่ต้อง “ลงมติ”
4) นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ก็อภิปรายได้ดีมาก ชี้ให้เห็นว่านี่เป็นหน้าที่ของตัวแทนประชาชนในระบบรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติที่พึงกระทำ เพื่อให้กฎหมายทั้งหลายเป็นประชาธิปไตย และไม่มีผลกระทบต่อประชาชน เช่น คำสั่ง คสช. บางฉบับ ไปเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของกฎหมาย ส.ป.ก. ทำให้การใช้ที่ดินไม่ได้อยู่ในเจตนารมณ์เดิมอีกต่อไปแล้ว ที่มุ่งจัดสรรที่ดินทำกินเพื่อการเกษตร แต่สามารถอนุญาตให้ทำเหมืองแร่และพลังงานทดแทนในที่ดิน ส.ป.ก. ได้ด้วย คำสั่ง คสช. บางฉบับไปยกเลิกการปฏิบัติตามกฎหมายผังเมืองและสิ่งแวดล้อมในบางพื้นที่ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อประชาชนอย่างใหญ่หลวง อย่างนี้พรรคประชาธิปัตย์ในยุค “อุดมการณ์ทันสมัย” ชั่งน้ำหนักอย่างไร โทษภัยที่อาจจะเกิดกับประชาชน มาทีหลังหลักการเป็น“พรรคร่วมรัฐบาล” อย่างนั้นหรือครับ
5) หากมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบการใช้มาตรา 44 กฎหมายที่ออกโดย สนช. และประกาศคณะปฏิวัติทั้งหลาย จะมีเหตุอะไรที่ถึงกับทำให้ “รัฐบาลล้ม” อย่างนั้นหรือครับคุณจุรินทร์ ในเมื่อเป็นแค่กรรมาธิการวิสามัญ แค่ทำหน้าที่ศึกษา แล้วนำไปรายงานต่อสภา จากนั้นก็หมดหน้าที่ ที่เหลือ เสียงส่วนใหญ่ในสภาเป็นผู้ควบคุมอยู่แล้ว ว่าจะมีมติไปในทางใด ควรแก้หรือไม่แก้กฎหมายหรือประกาศ คสช. ฉบับไหน ตรงนั้นต่างหาก ที่ควรใช้หลักแบบที่คุณจุรินทร์อธิบาย ซึ่งแน่นอน ก็จะมีคำถามว่า ประโยชน์หรือโทษที่เกิดกับประชาชน มีน้ำหนักแค่ไหน เมื่อเทียบกับน้ำหนักที่ให้ ต่อเรื่องวินัยหรือธรรมเนียมของการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
6) แน่นอนว่า สโลแกนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ว่า “ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริต” ไม่ได้เกิดในยุคที่คุณจุรินทร์เป็นหัวหน้าพรรค วิปรัฐบาลจึงเป็นใหญ่ โหวตแพ้ให้โหวตใหม่ ไม่ต้องอาย (ฮา...)
7) ชี้กันให้ชัด เรื่องนี้เป็นเรื่องความผิดพลาดของวิปรัฐบาลเอง ที่ไม่ได้มีผลเสียหายร้ายแรงถึงขั้นรัฐบาลจะล้มได้ การขอ “นับคะแนนใหม่” ที่แม้มีระเบียบรองรับให้ทำได้ ก็ยังต้องอาศัย “เหตุผล” ที่หนักแน่นด้วยว่า “ทำไมต้องทำ” ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถาม วิปรัฐบาลไม่อธิบาย ขณะที่ฝ่ายค้านซึ่งที่ผ่านมาก็โหวตแพ้รัฐบาลด้วยเสียงไม่เกิน 25 เสียงทั้งสิ้น เขาก็ไม่เคยขอ “นับคะแนนใหม่” เลย เรื่องนี้จึงดู “เจ้าเล่ห์เพทุบาย” ใช่ ยังเป็นประชาธิปไตย แต่สุจริต (ใจ) ไหม ลองคิดกันดู
8) ในเวลาเดียวกัน สส.ทั้ง 6 คน ที่ร่วมลงชื่อเสนอญัตตินี้นั้น ก็ไม่ควรจะถูก “กดดัน” จากคนในพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะระดับผู้หลักผู้ใหญ่ เพราะอะไร เพราะพวกเขาเป็นผู้เสนอญัตตินี้ หากคนเสนอญัตติยังไม่โหวตสนับสนุนญัตติของตัวเอง จะดู “ปัญญาอ่อน” ปานใด พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งอยู่มานานกว่า 70 ปี แสดงตนเป็น “สถาบันทางการเมือง” จึงควรเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้ สส.ทั้ง 6 คนนี้ ได้ยืนอย่างสง่างาม ในการที่จะได้โหวตสนับสนุนญัตติ ตามที่ตนได้นำเสนอ เพราะกลั่นกรองแล้วว่า 1.เป็นหลักการประชาธิปไตย 2.เป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ และ 3.เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ไม่เป็นผลร้ายใดๆ กับรัฐบาลเลย เว้นเสียแต่ว่า คสช. กับ สนช. ได้ “หมกเม็ด”อะไรไว้ในประกาศหรือกฎหมายพวกนั้น คนยอมให้ใคร “รื้อ” หรือ“ศึกษา” ไม่ได้ บวกกับว่า วัฒนธรรมองค์กรของพรรคประชาธิปัตย์นั้น มีระบบกลั่นกรองและรับทราบญัตติต่างๆ ก่อนเสมอ ใช่ว่าจะปล่อยให้ใครไปเสนอญัตติใดๆ ได้อย่างส่งๆ เดชๆ ทำไมพรรคประชาธิปัตย์ไม่ยืนหยัดให้คน 6 คนนี้ ได้มีที่ยืนอย่างสง่างามในเรื่องนี้ทำไมปฏิบัติกับพวกเขาเหมือน “ข้าวนอกนา” เหมือน “สิ่งแปลกปลอม”ทางประชาธิปไตย ส่วนที่เหลือจะโหวตไปอีกทางก็ทำไปสิ แต่ทุกคนต้องประสานเสียงกันเพื่อปกป้อง สส.ทั้ง 6 นี้ว่า เขาเป็นผู้เสนอญัตติ เขามีสิทธิที่จะโหวตยืนยันญัตติของพวกเขา
9) ในที่สุด การเมืองก็เป็นแค่เรื่อง “ความอยู่รอด” ในอำนาจ ไม่ได้มีหลักการที่เที่ยงแท้แน่นอนอันใดหรอก เมื่อเป็นพรรคเสียงน้อย ก็ต้องถูกควบคุมโดยพรรคเสียงใหญ่ เขาจะให้ไปทางไหนก็ไป เหมือนเป็นบริษัทลูก ทำตามนโยบาย ไม่ต้องโต้แย้ง ยิ่งมีข่าวเล็ดลอดมาว่า มีการ “บริภาษ” กันในที่ประชุม ครม. ด้วย ทำให้คนรู้สึกว่า ประชาธิปัตย์ทันสมัย ถูก “รัฐประหาร” ไปแล้ว โดยคณะ คสช. ที่มานั่งเป็นรัฐมนตรี โดยมี “ลูกน้องทักษิณ” เป็นฐานคะแนนให้
ในวันเดียวกัน นายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการลงมติญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบการใช้มาตรา 44 ที่ผ่านมาว่า ถ้ามองผิวเผินอาจจะเป็นชัยชนะของฝ่ายรัฐบาล ที่สามารถทำให้องค์ประชุมครบได้ในครั้งที่ 3 และโหวตชนะฝ่ายค้าน ล้มญัตตินี้ได้ก็ตาม แต่เป็นชัยชนะเฉพาะหน้า ซึ่งในระยะยาวรัฐบาลจะหนีการตรวจสอบการใช้อำนาจของ คสช.ในการออกคำสั่งมาตรา 44 ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อตัดสินใจไม่ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาเรื่องนี้ ก็จะต้องถูกตรวจสอบจากคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 35 คณะ แต่คณะกรรมาธิการที่มีบทบาทหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้ ม.44 มากที่สุด น่าจะเป็นคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ที่มี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่เป็นประธาน และมีนางสาวพรรณิการ์ วานิชนายรังสิมันต์ โรม ร่วมเป็นกรรมาธิการอยู่ด้วย ซึ่งจะต้องถูกตรวจสอบ ซักถามจากทีมที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการอีกหลายคนอย่างเข้มข้นแน่นอน
“สำหรับเรื่องนี้ ถ้าหากผู้มีอำนาจในรัฐบาลเปิดไฟเขียวให้วิปรัฐบาล มีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบการใช้มาตรา 44 ได้ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีอำนาจในรัฐบาลชุดนี้มากกว่า เพราะตัวประธาน และเสียงข้างมากในคณะกรรมาธิการวิสามัญจะเป็นของฝ่ายรัฐบาล ซึ่งสามารถกำหนดกรอบการทำงานและกำหนดการเชิญบุคคลเข้าชี้แจงในที่ประชุมได้ แต่เมื่อได้ตัดสินใจไม่ตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาผลกระทบการใช้มาตรา 44 แล้ว ก็ต้องกลับไปสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาผู้แทนราษฎรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการหนีเสือปะจระเข้” นายเทพไทกล่าว
นายเทพไท กล่าวด้วยว่า ถ้าจะนำเรื่องตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบการใช้มาตรา 44 ครั้งนี้มาเป็นเกมการต่อสู้ของฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลในสภา ผลก็คือรัฐบาลชนะศึก แต่แพ้สงคราม เพราะในระยะยาวรัฐบาล จะต้องเจอปัญหาอุปสรรค และขวากหนามทางการเมืองอีกมากมาย เพราะรัฐบาลชุดนี้ขาดกุนซือ นักวางแผนหรือเกมการเมืองมือชั้นเซียน ที่เข้าใจสภาพการเมืองไทยอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่จะถูกแวดล้อมด้วยนายทหารมักจะใช้นายทหารเป็นเสนาธิการในการวางแผนเกมการเมือง ซึ่งทำให้เหลี่ยมคูทางการเมืองหรือชั้นเชิงทางการเมือง สู้นักการเมืองมืออาชีพไม่ได้ จะต้องจับตามองเรื่องการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้งหนึ่งว่ากุนซือของรัฐบาลจะกำหนดเกมนี้อย่างไร จะส่งใครนั่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการชุดนี้ ถ้าหากเกมนี้พลาดพลั้งอีกครั้ง ก็เหมือนการเล่นหมากฮอส ถ้ารัฐบาลถูกกินฮอสไป 2 ตัวติดๆกัน แล้วโดนเข้าฮอสด้วย จะทำให้รัฐบาลเสียเปรียบและเหนื่อยกับเกมการเมืองในอนาคตมากยิ่งขึ้น”
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสะท้อนการเมืองไทย ในยุค “รัฐประหารรอบสอง” คือการเขียนรัฐธรรมนูญยึดอำนาจและเอาเสียงส่วนใหญ่ในสภา (บวกฝูงลิงและงูเห่า) มายึดกุมสภาต่อ งานเลี้ยงวันก่อน จึงเป็นวันประกาศชัยชนะของการ“ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ”
ได้อำนาจแล้ว กระชับอำนาจจนแน่นหนาดีแล้ว ก็อย่าลืมมุ่งหน้าแก้ปัญหาของพี่น้องประชาชนกันนะครับ เพราะตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลนี้ใช้เวลาหมดไปกับการ “แก้ปัญหาการเมือง” อย่างเดียว!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี