ขณะนี้กำลังเกิดกรณีฮือฮาขึ้นเกี่ยวกับการที่สหรัฐได้ออกกฎหมายที่ให้การรับรองคุ้มครองการป่วนเมืองของฮ่องกง และต่อมาก็ได้ออกกฎหมายเพิ่มเติมอีกฉบับหนึ่งที่คุ้มครองชาวอุยกูร์ในประเทศจีน
พร้อมกับขู่ว่าถ้าองค์กรหรือบุคคลใดของจีนละเมิดกฎหมายดังกล่าวของสหรัฐก็จะถูกคว่ำบาตร และอาจถูกลงโทษ ซึ่งเป็นที่คาดว่าอาจมีการลงโทษยึดหรืออายัดทรัพย์สินขององค์กรหรือบุคคลที่ถูกคว่ำบาตรดังกล่าวได้ เพราะเป็นวิธีที่สหรัฐเคยใช้ปฏิบัติกับประเทศอื่นและบุคคลอื่นมาแล้ว
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนก็ได้ประท้วงทั้งในทางการทูตและในการแสดงท่าทีตอบโต้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะการไม่อนุญาตให้เรือรบของสหรัฐเข้าเทียบท่าที่ฮ่องกง และการคว่ำบาตรกลุ่มเอ็นจีโอหลายกลุ่มที่สหรัฐให้การสนับสนุนในการเข้ามาป่วนฮ่องกง ซึ่งต้องถือว่านี่คือการตอบโต้ที่ชัดเจนของจีนต่อการแทรกแซงของต่างประเทศครั้งสำคัญที่สุด
สิ่งที่น่าสนใจก็คือทำไมสหรัฐต้องออกกฎหมายที่ก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศจีน แทรกแซงกิจการภายในของประเทศจีน และไม่เคารพต่ออธิปไตยของประเทศจีน ซึ่งนอกจากเป็นการขัดกับกฎบัตรสหประชาชาติอย่างรุนแรงแล้ว ยังต้องถือว่าเป็นการละเมิดต่อประเทศจีนอย่างรุนแรงด้วย
เพราะพฤติกรรมอย่างนี้ถ้ายอมรับนับถือว่าทำได้แล้ว สักวันหนึ่งสหรัฐก็อาจออกกฎหมายยกดินแดนภาคใต้ของประเทศไทยให้กับชาติอื่นหรือให้เป็นรัฐอิสระอย่างอื่นก็ได้
แม้กระทั่งอาจออกกฎหมายให้คนจีนเลิกใช้ตะเกียบก็ได้ เพราะถ้าหากไม่เคารพกฎบัตรของสหประชาชาติ ไม่เคารพเอกราชอธิปไตยของชาติอื่นแล้วก็สามารถทำอะไรได้ทั้งสิ้น
และถ้าหากชาติใดชาติหนึ่งได้ออกกฎหมายแบบเดียวกันกับสหรัฐบ้าง เช่น ถ้าหากรัสเซียหรืออิหร่านออกกฎหมายให้การรับรองว่าบางรัฐของสหรัฐอเมริกาเป็นรัฐของชาวอินเดียนแดง หรือเป็นรัฐของชาติอื่นแล้วจะว่ากันอย่างไร
และย่อมเป็นที่แน่นอนว่าสหรัฐไม่ว่าจะโดยรัฐบาลใดๆ และไม่ว่าชาวอเมริกันคนใดก็ตามย่อมไม่สามารถยอมรับนับถือกฎหมายแบบนั้นได้ฉันใด ประเทศจีนและประเทศทั้งหลายทั่วโลกแม้กระทั่งประเทศไทยและประเทศอาเซียนทั้งมวลก็ไม่มีวันที่จะเห็นด้วยหรือยอมรับนับถือกฎหมายลักษณะเช่นนั้นโดยเด็ดขาด
เพราะเหตุนี้หลังจากสหรัฐเคลื่อนไหวในเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้วก็ไม่มีพันธมิตรใดๆ ของสหรัฐเห็นดีเห็นงามหรือเออออห่อหมกไปด้วยเลยแม้แต่ชาติเดียว และพอจับทางได้ว่าประเทศต่างๆ พากันส่ายหัวส่ายหน้าด้วยกันทั้งสิ้น
สิ่งที่น่าพิจารณามากที่สุดก็คือ ทำไมประธานาธิบดีทรัมป์และสหรัฐจึงได้ออกกฎหมายลักษณะเช่นว่านั้น และเท่าที่พิจารณาจากข้อมูลและปรากฏการณ์ทั้งหลายก็สามารถสรุปได้เป็นสองประการคือ
ประการแรก การออกกฎหมายทั้งสองเรื่องดังกล่าวนั้นแท้จริงก็คือการสะท้อนถึงคำรับสารภาพของประธานาธิบดีทรัมป์ว่าไม่มีน้ำยาที่จะจัดการใดๆกับประเทศกลุ่มองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ได้เลยไม่ว่ากับรัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ หรืออิหร่าน หรือแม้แต่สถานการณ์ที่เป็นไปในซีเรีย อิรัก และเวเนซุเอลา สหรัฐก็บ้อท่าไปหมด
ดังตัวอย่างเช่นการเคลื่อนกองเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าไปป่วนในหลายพื้นที่ ไม่ว่าที่คาบสมุทรเกาหลี ที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน หรือในทะเลจีนใต้ ก็หามีผู้ใดยำเกรงไม่ และไม่สามารถกดข่มไม่ว่าเกาหลีเหนือหรืออิหร่านให้สยบยอมได้เลย
โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่คว่ำบาตรกดดันรัสเซียอย่างหนัก จีนก็ได้เข้าช่วยเหลือรัสเซียเต็มอัตราศึก หรือเมื่อครั้งกดดันเกาหลีเหนือและอิหร่านอย่างหนัก ทั้งจีนและรัสเซียก็เข้าช่วยทั้งเกาหลีเหนือและอิหร่านอย่างเต็มกำลัง
มาในครั้งนี้สหรัฐออกกฎหมายหวังจะกดดันและสร้างความปั่นป่วนขึ้นกับจีน แต่นัยสำคัญประการหนึ่งก็คือย่อมต้องการทราบว่ารัสเซีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือจะว่าอย่างไร คือจะปล่อยให้จีนโดดเดี่ยวหรือไม่
ปรากฏว่าประเทศเหล่านั้นได้แสดงท่าทีชัดเจนที่จะยืนข้างจีนอย่างถึงที่สุด ถึงขนาดเปิดการซ้อมรบใหญ่ขึ้นระหว่างรัสเซีย จีน และอิหร่าน ในพื้นที่ที่กองเรือ
ที่ 5 ของสหรัฐเคลื่อนไหวอยู่ และเปิดการซ้อมรบใหญ่ขึ้นในทะเลจีนตะวันออกระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนือ
ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ยังคงสามัคคีผนึกกำลังกันอย่างแน่นแฟ้น ในขณะที่สหรัฐเองกำลังโดดเดี่ยวจากกลุ่มประเทศนาโตทั้งมวล
ประการที่สอง การเลือกตั้งในสหรัฐกำลังเข้าสู่ระยะการเริ่มต้นแล้ว และเป็นที่แน่นอนว่าประธานาธิบดีทรัมป์คาดหวังว่าจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีต่ออีกสมัยหนึ่ง แต่ปรากฏว่ามีม้ามืดที่ประวัติในอดีตมีความเหนือกว่าประธานาธิบดีทรัมป์มากมายได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในห้วงเวลาล่าสุดนั่นคือนายบลูมเบิร์ก ซึ่งทำให้คอการเมืองของสหรัฐพากันคาดหมายว่าอาจจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
เพราะแม้ว่าชาวอเมริกันจำนวนหนึ่งจะพอใจต่อผลงานของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่คนอเมริกันจำนวนมากก็สัมผัสได้ว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของสหรัฐกำลังพังทลาย แม้ในสงครามการค้ากับจีนก็ผลิดอกออกผลให้เห็นแล้วว่าสหรัฐมีผลขาดดุลการค้ามากขึ้น และที่สำคัญ สหรัฐกำลังถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก และประเทศที่ไมเกรงอกเกรงใจมีมากขึ้นทุกวัน ไม่ต้องพูดถึงจีน รัสเซีย แม้อิหร่านและเกาหลีเหนือและประเทศเล็กประเทศน้อยต่างๆ ก็พากันแข็งข้อ ไม่เออออห่อหมกด้วย แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีฮุนเซนของกัมพูชาก็มิได้ใส่ใจไยดีแต่ประการใด
อาการที่ดูเหมือนว่าสามารถกร่างได้กับประเทศต่างๆ ตามอำเภอใจนั้น แท้จริงแล้วก็อาจเป็นแค่ม่านบังความอ่อนแอก็เป็นได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี