ความขัดแย้งและแตกแยกทางการเมืองในหมู่ ประชาชนคนไทยที่เกิดขึ้นในยุคที่สมัยที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ในระหว่างปี 2544 ถึงปี 2549 เป็นต้นมานั้น ยังคงมีเชื้อปะทุอยู่ในสังคมไทยความโกรธแค้นชิงชังในหัวใจของประชาชนที่แบ่งแยกเป็นกลุ่มต่างๆ ทั่วประเทศนั้นหาได้หมดไปไม่เนื่องจากนักการเมืองไปจนถึงกลุ่มคนที่ประกอบอาชีพสื่อสารมวลชนได้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันจนยากที่จะประสานรอยร้าวได้ง่ายๆ อย่างที่สังคมต้องการ
ว่าด้วยข้อเท็จจริงทางสังคมวิทยาแล้วความขัดแย้งของประชาชนคนไทยยังมีอยู่เพียงแต่ไม่ได้ประทุออกมารุนแรงเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างปี 2548 - 2549 2552 - 2553 และ 2556 -2557 เหตุที่เกิดขึ้นในระยะที่ผ่านมาถ้าหากคณะทหารในกองทัพไม่กล้าเสี่ยงชีวิตตัดสินใจก่อรัฐประหารล้มรัฐบาลในระบอบทักษิณทั้ง 2 ครั้ง ในวันที่ 19 กันยายน 2549 และวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 เชื่อว่าอาจจะเกิดสงครามกลางเมืองแบบในหลายๆประเทศ
การที่คณะทหารในกองทัพได้ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวด้วยการใช้กำลังเข้ามารัฐประหารจึงถือได้ว่าเป็นคุณูปการต่อชาติบ้านเมืองอย่างยิ่งใหญ่และมีความสำคัญที่ถือได้ว่าสูงสุดต่อผืนแผ่นดินไทยเป็นการกวาดล้างนักการเมืองที่โกงกินและฉวยโอกาสใช้อำนาจทางการเมืองเข้ามาปล้นชาติปล้นแผ่นดินด้วยความละโมบหาผลประโยชน์เข้าตัวเองของกลุ่มนายทุนนักการเมืองขี้ฉ้อ
มีผลการสำรวจล่าสุดในวันที่ 7 ธันวาคมที่ส่งมาจากโพลล์ต่างๆ ที่มีชื่อเสียง เช่น สวนดุสิตโพล,กรุงเทพโพล, นิด้าโพลและซูเปอร์โพล ปรากฏว่า ซูเปอร์โพลได้สำรวจประชาชนทั่วประเทศรวม 10,987 ตัวอย่างในระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2562 ในหัวข้อข้อกังวลของประชาชนกับกิจกรรมวิ่งไล่ลุง ซึ่งหมายถึงการจัดวิ่งไล่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตำแหน่งในวันที่ 12 มกราคม 2563 ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ
คนดำเนินการดังกล่าวอ้างว่าพวกเขาเป็นนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศไม่พอใจรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีและวิ่งไล่ลุงเพราะปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและปัญหาทางการเมืองเป็นที่ทราบกันว่ากลุ่มการเมืองที่ให้ท้ายนิสิตนักศึกษาก็เป็นพวกนักการเมืองที่สูญเสียอำนาจเพราะถูกคณะทหารรัฐประหารสถานการณ์ที่จะปลุกระดมคนมาก่อม็อบไล่ลุงมีความชอบธรรมเหมือนสมัยเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เมื่อ 46 ปีก่อนหรือไม่
เป็นเรื่องที่คณะผู้จัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุงต้องนำไปทบทวนให้จงหนักเพราะผลการสำรวจของโพลล์นั้นระบุว่ามีคนร้อยละ 62.8 วิตกว่าอาจจะเกิดเหตุร้ายบานปลายมากขึ้นในขณะที่ร้อยละ 37.2 ไม่กังวลส่วนผลการทำงานของบรรดา สส.ในสภานั้นประชาชนร้อยละ 77.9 เห็นว่าสส.ทำงานได้ไม่คุ้มค่ากับเงินภาษีที่ต้องเสียไปคนละ 200,000 บาท มีผู้เห็นว่าสส.ทำงานคุ้มค่าเพียงร้อยละ 21.1 เท่านั้น
การออกมาวิ่งไล่ลุงนั้นประชาชนมีเสียงตอบรับไปในทางบวกร้อยละ 43.3 และตอบรับในทางลบร้อยละ 56.7 ดังนั้นผู้ที่เป็นแกนจัดการวิ่งไล่ลุงต้องคิดทบทวนด้วยว่าจะทำต่อไปหรือไม่หรือมีเป้าหมายแอบแฝงที่มีนัยสำคัญนั่นคือสนับสนุนคนที่โกงชาติที่หนีคดีทุจริตอยู่ในต่างประเทศใช่หรือไม่อย่างที่หลายๆฝ่ายได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี