สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ มีปัญหาจริง บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยไม่คึกคักจริง
นั่นเพราะรายได้ของกลุ่มเกษตรกรส่วนใหญ่ตกต่ำลง ตามสภาวการณ์ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก ขณะที่ด้านหนี้สินของครัวเรือนก็เพิ่มสูงขึ้น (โดยเฉพาะหนี้จากการบริโภคของประชาชน)
และอีกด้าน คือ ผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ที่มีกำลังซื้อมหาศาลก็เปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย โดยหันไปซื้อสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ แทนที่ร้านค้าแบบเดิม ในสัดส่วนที่มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ผลกระทบตกแก่ผู้ประกอบการที่รับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ทัน ยอดขายหายไปจำนวนมาก ทุกวงการธุรกิจ
1. ปรากฏการณ์ที่การค้าขายขยายตัวในโลกออนไลน์ แบบที่ผู้บริโภคไม่ต้องเดินไปซื้อสินค้าจากร้านค้าของผู้ประกอบการนั้น สร้างผลกระทบไม่ใช่เฉพาะผู้ค้ารายย่อย แม้แต่ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจร้านกาแฟ “สตาร์บัค” ซึ่งมีจุดขายที่รสชาติกาแฟและบรรยากาศของร้าน ก็ยังได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
แฟนเพจ “ลงทุนศาสตร์” นำเสนอเรื่อง “สรุปข้อมูลบริษัท Starbucks : Starbucks กำลังถูก disrupt” อย่างน่าสนใจ โดยชี้ให้เห็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับกาแฟยี่ห้อดังว่าไม่พ้นจะต้องปรับตัวสู้
ระบุว่า Starbucks ที่มีมูลค่ากิจการประมาณ 1 แสนล้านเหรียญ พร้อมกับรายได้ในปีล่าสุดถึง 26,509 ล้านเหรียญ แต่ในงบปีล่าสุดนั้นบริษัทมีกำไรลดลงกว่า 1 พันล้านเหรียญ จาก 4,518 ล้านเหรียญในปีก่อน มาอยู่ที่ 3,599 ล้านเหรียญในปีล่าสุด ส่วนหนึ่งก็เพราะว่า บริษัทกำลังเผชิญโจทย์ที่ท้าทายสองอย่าง นั่นคือ คนไม่ค่อยออกจากบ้านมาซื้ออะไรกิน และข้อสอง ประเทศจีน
“สำหรับข้อแรก ไม่ใช่ว่าคนเราจะหยุดกินกาแฟไปเสียเฉยๆ แต่หมายถึงเทรนด์ผู้บริโภคตอนนี้มักจะเน้นสั่งอาหารแบบเดลิเวอรี่มาส่งถึงบ้านมากกว่า ร้าน Starbucks ซึ่งวางตัวเป็นบ้านหลังที่สามให้กับเหล่านักดื่มจึงได้รับผลกระทบ เพราะถ้าคนไม่ออกมาข้างนอก ร้านกาแฟที่เน้นขายบรรยากาศภายในร้านก็ขายกาแฟไม่ได้ จนอาจส่งผลให้บางสาขาขาดทุนในที่สุด ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นแล้วกับ Starbucks ในประเทศอังกฤษ ที่ปีล่าสุดนั้นขาดทุนไปราว ๆ 22 ล้านเหรียญเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
กับเรื่องท้าทายอีกอย่างคือ ประเทศจีน ภาพที่เรามอง Starbucks อาจจะมองว่านี่คือการแฟที่สามารถขายได้ทั่วโลกและใครๆ ก็ต้องกิน แต่สำหรับประเทศจีนคู่แข่งสำคัญที่สุดคือ Luckin Coffee ที่ตั้งเป้าชัดเจนว่าจะไล่จับเงือกเขียวตนนี้เอาไปขายที่ตลาดปลาในมหาชัยให้ได้ ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นขายกาแฟให้กับนักดื่มแบบซื้อแล้วไปกินที่อื่น พร้อมด้วยราคาที่ถูกกว่า แต่ได้รสชาติและคุณภาพที่ใกล้เคียงกับแบรนด์ฟากฝั่งอเมริกา งานนี้ถ้า Starbucks ไม่สามารถต่อกรกับ Luckin Coffee ได้ ก็จะสูญเสียกลุ่มลูกค้ากว่า 1 พันล้านคนในประเทศจีนไปอย่างน่าเสียดาย
และไม่ใช่แต่กับในประเทศจีน ก่อนหน้านี้ Starbucks ก็เคยล้มเหลวจากการเข้าไปเจาะตลาดในประเทศออสเตรเลียมาแล้วเนื่องจากไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของคนท้องถิ่นได้ หรือแม้แต่ประเทศไทยเองก็มีคู่แข่งอย่าง
นกแก้วแก้วอเมซอนที่ราคาถูกกว่า เห็นได้ชัดว่าบริษัทกาแฟขนาดแสนล้านเหรียญก็ยังมีเรื่องให้กังวล”
“ลงทุนศาสตร์” ชี้ว่า หากจะเรียกว่า Starbucks กำลังถูก disrupt ก็คงไม่ผิดนัก เพราะการวางตัวเป็นบ้านหลังที่สามของร้านกาแฟ กำลังถูกท้าทายจากโลกสั่งของออนไลน์และเดลิเวอรี่ที่โตอย่างก้าวกระโดดในทุกวันๆ ลองคิดถึงวันเสาร์ที่แสนน่าเบื่อ ปกติคุณต้องออกจากบ้านไปหาข้าวกิน เดินเล่นเรื่อยเปื่อย และอาจจะจบที่ร้านกาแฟสักร้าน แต่ปัจจุบันไม่ใช่ มีร้านอาหารทุกร้านรอให้คุณสั่งมาส่งเพื่อกินในบ้านอยู่ทั่วกรุง คนที่สั่งกาแฟให้ส่งเดลิเวอรี่มากินที่บ้านก็คงมีบ้าง แต่
เชื่อว่าก็คงจะไม่มากเท่าเดิม
2. แฟนเพจอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha” แชร์คลิป”ไลฟ์ขายของอย่างไรให้ปัง! กับ “ฮาซัน” นักขาย 200 ล้าน” ที่มีการนำเสนอผ่านเว็บไซต์โพสต์ทูเดย์
พลเอกประยุทธ์ระบุด้วยว่า “ผมเคยได้ดูคลิปนี้แล้วประทับใจคุณฮาซันเลยอยากเอามาแชร์ให้ดูครับ เป็นตัวอย่าง ความกล้าที่จะคิด กล้าลอง และกล้าทำ ผมขอเป็นกำลังใจให้คุณฮาซัน และ พี่น้องคนไทยทุกคน เพื่อจะปรับเปลี่ยนให้ทันกับโลกยุคดิจิทัล ผมและรัฐบาล สนับสนุนเต็มที่ครับ”
เนื้อหาในคลิป เป็นการเปิดเผยประสบการณ์การขายอาหารทะเลผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดียของ “ฮาซัน” ที่มีเอกลักษณ์โดเด่น เป็นที่จดจำ และได้รับความนิยมสูงมาก จากทุนเริ่มต้นไม่ถึงพันบาท ใช้เวลาไม่ถึงสองปี “ฮาซัน” สามารถสร้างรายได้จากการขายอาหารทะเลด้วยช่องทาง “ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ค” ได้ถึง 200 ล้านบาท
โดยที่ “ฮาซัน” ไม่ได้มีหน้าร้านค้าในห้างใหญ่ๆ ทำเลทองคำ แต่ทำหน้าที่ติดต่อรับอาหารทะเลมาจากชาวบ้านประมงรายย่อยในพื้นที่ (แปรรูง่ายๆ เช่น ปลา กุ้ง ตากแห้ง ฯลฯ) แล้วทำหน้าที่เป็นร้านค้าขายปลีกผ่านแฟนเพจของตัวเอง
จุดเด่น คือ ลีลาการขาย และการดูแลคุณภาพของสินค้าอย่างดี
ในความเป็นจริง ปัจจุบัน จะเห็นคนที่ประสบความสำเร็จจากการใช้สื่อออนไลน์ค้าขายแบบนี้จำนวนมากขึ้นทุกวัน เฉพาะคนที่เปิดเผยตัวเลขรายได้ และจ่ายภาษีถูกต้องก็มีในแทบจะทุกวงการสินค้า เรียกว่า ตั้งแต่สินค้าอุปโภคบริโภคง่ายๆ สินค้าทำมือ ไปจนถึงรถมือสอง บ้านมือสอง ฯลฯ
3. จะเห็นได้ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมถึงในปีหน้านั้น ไม่ได้เป็นเรื่องที่ไร้อนาคต สิ้นหวัง ตายๆ หรือเผาจริงแน่ ตามที่มีคนพยายามจะเขย่าขวัญผู้คน (จริงๆ มีคนบางกลุ่มออกมาบอกว่าปีหน้าเศรษฐกิจเผาจริงตั้งแต่ปีก่อนหน้านี้แล้ว และพูดทำนองแบบนี้ทุกๆ ปี เพราะข่าวร้ายจะแพร่เร็วไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง)
ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) ยืนยันว่า “ภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ไม่ได้คอขาดบาดตายถึงขนาดที่ว่าเผาจริงหรือล่มสลายแน่ๆ แต่ยังมีโอกาสที่จะขยายตัวเป็นบวก รวมไปถึงภาคการส่งออกหากประเทศไทยมีการเดินหน้าผลักดันสร้างความเข้มแข็งทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในนโยบายสำคัญ เช่น การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ที่ต้องการให้มีความชัดเจนและต่อเนื่อง เพื่อดึงโอกาสการค้า การลงทุนเข้ามาให้มากขึ้น ส่วนนโยบายในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรพิจารณาในองค์ประกอบที่สำคัญ เพราะจากนโยบายที่ผ่านมาไม่ได้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือก่อให้เกิดการลงทุนในภาคเอกชนมากนัก โดยจะเห็นได้ว่าหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยยังปรับตัวสูงขึ้น”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอุตตม สาวนายน เปิดเผยว่า สถาบันจัดอันดับสากล Standards & Poor’s (เอสแอนด์พี) ประกาศปรับผลการประเมินแนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจไทยล่าสุดดีขึ้น จากการมีเสถียรภาพ (stable outlook) ไปสู่การมีแนวโน้มบวก (positive outlook) ถือเป็นการปรับ outlook ไทยสู่เชิงบวกครั้งแรกรอบ 9 ปี และถือว่าไทยได้รับอันดับที่ดีขึ้นในแนวทางเดียวกันจากสถาบันจัดอันดับหลักสากลทั้งสามแล้วทั้ง Moody’s และ Fitch ที่ปรับปรับ outlook ไทยเชิงบวกเมื่อ ประมาณ 3 เดือนก่อนหน้า
“เหตุผลหลัก คือ 1.ความแข็งแกร่งด้านฐานะการคลังและการเงิน ทำให้สามารถขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ได้ 2.ยุทธศาสตร์การลงทุนเพื่อยกระดับประเทศ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน และการใช้เครื่องมือ เช่น พีพีพี โดยเห็นว่าไทยจะสามารถใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวเพื่อขับเคลื่อนภาคปฏิบัติได้ 3.การเมืองที่มีเสถียรภาพโดยรวม ซึ่งสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์”
เศรษฐกิจไทยยังไม่ดี นั่นคือความจริง
แต่ไม่ได้หมายความว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะไร้อนาคต หรือเลวร้าย เผาจริง มรณะจริง แบบที่มีคนพยายามจะเขย่าขวัญและผูกโยงไปสู่ประเด็นทางการเมือง เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่ไม่มีตรรกะเชื่อมโยงอะไรกันเลย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี