เมื่อพูดถึงเรื่องการบ้านการเมืองแบบเสรีประชาธิปไตย(Liberal Democracy) นั้นก็มักหมายถึง หรือเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า
1. ตัวประชาชนเป็นใหญ่ เป็นที่ตั้ง (มิใช่รัฐ หรือพรรค หรือตัว หรือกลุ่มบุคคลหนึ่งใด) และคนนั้นเกิดมาพร้อมกับสิทธิมนุษยชน และมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคน เป็นมนุษย์ คือมีโอกาสในการดำรงชีพ ย่อมต้องได้รับการปฏิบัติดูแลอย่างทัดเทียมกัน ปราศจากการกดขี่ใดๆ และไม่ตกอยู่ในสภาวะความหวาดกลัว
2. คนจะอยู่ได้อย่างสง่างามต้องมีสิทธิเสรีภาพต่างๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับความหลากหลายความต่าง และเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน
3. คนจะเบิกบาน ใช้ศักยภาพได้จริงก็ต้องอยู่ในระบอบการเมืองการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย อันประกอบด้วยพรรคการเมืองที่แข่งขันกันเพื่อเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา เพื่อจัดตั้งคณะรัฐบาลและบริหารประเทศ โดยเคารพฝ่ายเสียงข้างน้อย (ฝ่ายค้าน)ในฐานะผู้ตรวจสอบ ร่วมปกป้องผลประโยชน์ชาติ โดยคำนึงว่า ฝ่ายรัฐบาล ณ วันนี้ก็อาจจะกลับกลายเป็นฝ่ายค้านในวันหน้า (ฉะนั้น หลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติจึงต้องยึดร่วมกัน)
4. ในกรอบเสรีประชาธิปไตย นอกจากเรื่องการบ้านการเมืองของการแข่งขันกับของพรรคต่างๆ แล้ว ทางด้านเศรษฐกิจการค้าก็แบบตลาดทุนนิยมที่คนเป็นเจ้าของทรัพย์สิน และธุรกิจ และแข่งขันกันโดยภาครัฐเป็นผู้ควบคุม กำกับดูแลกติกาให้เกิดความยุติธรรม
ความล้มเหลว หรือความถดถอยของระบบเสรีประชาธิปไตย (ควบคู่ด้วยระบบการตลาดทุนนิยม) นั้นสืบเนื่องมาจากการที่ฝ่ายทุนได้เข้าไปครอบงำฝ่ายการเมือง โดยฝ่ายการเมืองแทนที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง คือรับใช้คนทั้งประเทศ ก็ดันไปตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มทุน ส่วนการมีอำนาจการเมือง และอำนาจเศรษฐกิจก็เป็นหนึ่งเดียวกัน นำไปสู่ทำการผูกขาด คือความมั่งมีและความเป็นใหญ่ในการเมืองก็กระจุกตัว สร้างความเหลื่อมล้ำ การเอารัดเอาเปรียบ ผู้คนท้อแท้ ใฝ่หาสิ่งใหม่ๆ เพื่อมาทดแทนการเมืองแบบเดิมที่อำนาจเงินและอำนาจรัฐ กระจุกตัว
จนในที่สุด สังคมก็มักจะโน้มเอียงไปสู่การเมืองแบบมีผู้นำเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ชาตินิยม และประชานิยมแต่ในหลายประเทศก็ได้เลือกที่จะหันเหไปหาฝ่ายกองทัพให้เข้ามาจัดการบ้านเมือง เช่น ในกรณีของไทยและอียิปต์ ไม่ก็เป็นพวกที่มีรัฐบาลที่อิงฝ่ายกองทัพ เช่น พม่า ปากีสถาน และเวเนซุเอลา เป็นต้น
ในขณะเดียวกันความถดถอยของการเมืองการปกครองแบบเสรีนิยม ก็ได้เปิดช่องให้ระบบพรรคเดียวผูกขาด หรือครอบงำ เช่นที่ จีน สิงคโปร์ รัสเซีย ผงาดขึ้นมาเป็นทางเลือก โดยจีนถึงขั้น “ส่งออก” และเชื้อเชิญให้ประเทศต่างๆ มาใช้ระบบ หรือรูปแบบของตน คือ การเมืองเผด็จการ คู่ขนานกับเศรษฐกิจแบบการตลาด (ด้วยธุรกิจเอกชน กับบรรษัทธุรกิจ รัฐเป็นเจ้าของ)
แต่อย่างไรก็ตาม ระบบเสรีนิยมก็ยังไม่ถึงทางตันหรือสูญพันธุ์เสียทีเดียว และประชาชนพลเมืองก็ยังไม่ต้องทิ้งระบบเปิด ไปสู่ระบบปิด
ทางออกหนึ่งเพื่อให้ระบบเสรีประชาธิปไตยคงอยู่ได้ต่อไปก็คือ ให้ระบอบเสรีนิยม ที่เคยเคลื่อนที่ไปแบบใครเก่งใครอยู่ใครได้เปรียบ หรือมือใครยาวสาวได้สาวเอากลับหลังหันมาสู่การเข้าไปดูแลผู้คนให้มากขึ้น โดยทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยภาครัฐจะต้องควบคุมไม่ให้กลุ่มทุนมุ่งทำกำไรมากที่สุดแต่อย่างเดียว แต่จะต้องทำการคิดอ่านเพื่อสังคมด้วย คือมุ่งทำแบบไม่ผูกขาด แล้วนำกำไรไปช่วยพัฒนาสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
ซึ่งก็หมายความว่า ระบบหรือสังคมเสรีประชาธิปไตย และเศรษฐกิจทุนนิยม จะต้องมีความคิด มีจิตสำนึก และมีการทำเพื่อสังคมโดยองค์รวม เพื่อมิให้มีผู้ใดถูกลืม ถูกทอดทิ้ง ถูกให้ตกหล่นไว้ข้างๆ สังคม
เสรีประชาธิปไตยจะต้องผสมผสานกับการคำนึงถึงสังคม หรือมีความนิยมในสังคมด้วย นอกจากการเคารพในความเป็นคนแล้ว
ให้ Liberal Democracy มี Social Concern หรือเป็น Social - oriented liberal democracy ซึ่งการช่วยยกระดับผู้คนให้ทั่วถึง อาจจะต้องใช้งบมากขึ้น ซึ่งก็หมายความว่า การงานต้องมีมากขึ้นและการเลือกเก็บภาษีต้องให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ภาระก็ต้องที่ฝ่ายรัฐในการสร้างคนและสร้างงาน ส่วนตัวคนก็ต้องขยัน และยอมจ่ายภาษี เป็นวัฏจักรกลับมาว่า ภาครัฐก็จะต้องนำเอาภาษีนั้นไปใช้อย่างเกิดประโยชน์ และสร้างสังคมที่มีคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน
หากรัฐไม่คิดดำเนินการดังกล่าวแล้ว อนาคตของเสรีนิยม และระบบเปิด คงจะดูริบหรี่ลงเรื่อยๆ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี