ภาพของพสกนิกรที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค สะท้อนถึงความสวยงามของขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยที่มีมาอย่างยาวนาน และถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่จีรังยั่งยืน ท่ามกลางความปลาบปลื้มยินดีกับสัญลักษณ์ดังกล่าว ก็สอดรับกับการลดอุณหภูมิทางการเมือง ที่ทุกภาคส่วนทางการเมืองต่างเว้นช่วงการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว แม้แต่ภาครัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ เองที่แม้จะเผชิญศึกจากด้านต่างๆ ก็ยังเว้นวรรค ลดการขยับตัวในช่วงนี้ สวนทางกับภาคการเมืองบางกลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวในช่วงนี้มากเป็นพิเศษ
แม้จะมากด้วยความนิ่งในอารมณ์ของกัปตันประยุทธ์ กับการกำกับรัฐนาวานั้น ก็ยังปิดรอยร้าวได้ไม่หมดอยู่ดี แต่ทว่ารอยดังกล่าว ก็ยังเป็นเพียงรอยกะเทาะเล็กๆ ของเรือในขณะนี้เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นรอยที่ส่อแววบาดหมางจากเหล่าพรรคร่วม? รอยสั่นสะเทือนจากปัญหาเศรษฐกิจ และรอยเท้าของเหล่ามวลชนที่รวมตัวกันภายใต้การกระตุ้นของนายธนาธร หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นต้น
รอยแรก คือรอยที่จัดว่าเป็นแผลสดของรัฐบาล อย่างอาการของคนในพรรคร่วมรัฐบาล คือพรรคประชาธิปัตย์ ที่ในการออกงานร่วมกันล่าสุดอย่างการร่วมโหวตในญัตติการตั้ง กมธ. วิสามัญเพื่อศึกษา ม.44 นั้น ผลที่ออกมาไม่ได้เป็นไปตามที่ฝ่ายรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ หวัง เหตุเพราะในจำนวน สส. ของพรรคประชาธิปัตย์ ยังมีส่วนหนึ่งที่ยังโหวตสวนมติวิปรัฐบาล ซึ่งหากไล่เลียงจากเหตุการณ์ในขณะนั้น จนถึงตอนนี้ทางพรรคประชาธิปัตย์เอง แม้จะยังไม่ได้กำหนดมาตรการลงโทษกับ สส. ที่โหวตสวนอย่างไร แต่หากพิจารณาจากท่าทีของนายจุรินทร์ ที่ได้เร่งสั่งการนายเฉลิมชัย ในฐานะเลขาธิการของพรรคให้จัดการเรื่องดังกล่าวทันทีหลังเกิดเรื่อง ก็พอมองได้ว่าความต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับรัฐบาลยังคงแนบแน่นต่อไป
ไม่ต่างกับพรรคภูมิใจไทยที่ลดอาการดื้อดึง ขึงขังลง ต่างกับก่อนหน้านี้ และน่าจะกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับรัฐบาลในไม่ช้าใช่หรือไม่? ซึ่งนอกจากท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยที่เปลี่ยนไปแล้ว ตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้นำสูงสุดบนยอดพีระมิดฝ่ายรัฐบาลนั้น ก็ดูจะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกันหรือไม่? หลังลดความแข็งกร้าวลง และประนอมในความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมมากขึ้น จากท่าทีนี้เองทำให้เหล่านักวิเคราะห์เชื่อว่าในระยะยาวนั้น เฟืองหลักทั้งสามของรัฐบาลน่าจะกลายเป็นเนื้อเดียวกันและขยับตัวได้ดีขึ้นในปีหน้าตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้
รอยต่อมา คือร่องรอยที่เริ่มเห็นได้ชัดในขณะนี้ อย่างปัญหาของเศรษฐกิจ ที่หากมองว่าต้นสายปลายเหตุมาจากสถานการณ์ในการบริหารของทีมเศรษฐกิจ ที่คล้ายจะแบ่งออกเป็น 3 ก๊กนั้น ก็คงไม่น่าห่วงนัก เพราะเมื่อลองจับสัญญาณข้างต้นแล้ว ก็คาดว่าปัญหานี้จะคลายตัวลง ผสานกันเป็นเนื้อเดียวกันเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกันในไม่ช้านี้ ล้อไปกับข้อมูลของบริษัท เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้ง สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก ที่ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจไทยเป็นระดับเชิงบวก ซึ่งถือเป็นการกลับมาอยู่ในระดับเชิงบวกในรอบ 16 ปีนับตั้งแต่ปี 2546 บ่งบอกถึงความมั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศต่อระบบเศรษฐกิจของไทย ที่เหลือคงต้องรอดูแพ็กเกจเศรษฐกิจใหม่ของรองนายกฯ สมคิด ในปีหน้านี้ว่าจะมีอะไรออกมากระตุ้นเศรษฐกิจประเทศและภาคชุมชนอีกบ้าง
รอยสุดท้าย คือรอยเท้าของมวลชนที่ถูกปลุกระดมโดยนายธนาธร ไปยังสกายวอล์ก บริเวณสี่แยกปทุมวัน ซึ่งภายหลังการชุมนุมดังกล่าว หลายฝ่ายมองว่าเหตุในการปลุกระดมของนายธนาธรนั้น ยังขาดปัจจัยสนับสนุนในหลายประเด็น ทั้งเวลาการประกาศนัดชุมนุมที่ถูกมองว่าไล่เลี่ยกับเวลามติของ กกต.ที่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ กรณีกู้เงิน 191 ล้านบาท จนอาจถูกตั้งคำถามได้ว่าเป็นการนัดชุมนุมโดยใช้ประชาชนต่อสู้เพื่อตัวเองหรือไม่?
นอกจากนี้ยังมีประเด็นของการประกาศเดินเกมดังกล่าว หลังเวลาพระราชพิธีเพียงวันเดียว เพื่อชุมนุมในวันรุ่งขึ้น อีกทั้งสถานที่ ก็มีการออกมาตั้งข้อสังเกตที่ใช้สถานที่นัดใกล้เขตพระราชฐาน? จนอาจถูกตีความได้ต่างๆ นานา?
หากมองภาพรวมจากเหตุการณ์ดังกล่าว ด้วยการสังเกตท่าทีของพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกันเองทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมอื่น ก็ไม่ได้มีการตอบสนองใดต่อเกมนอกสภาในครั้งนี้ อย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้แต่ทีแรก ซึ่งเหตุทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทำให้การนัดชุมนุมในวันเสาร์ที่ผ่านมา (14 ธ.ค.) นั้น อาจถูกตั้งคำถามว่าเป็นการทำไปเพื่อตอบโจทย์เงื่อนไขเฉพาะบุคคลเท่านั้นใช่หรือไม่? เพราะต้องอย่าลืมว่าฝ่ายค้านเองมีเรื่องเร่งด่วนที่น่าเป็นห่วงและควรแก้ปัญหาในขณะนี้มากกว่าหรือไม่? หลังพรรคอนาคตใหม่มีการลงมติขับ สส. 4 คนออกจากพรรค อันประกอบด้วย นายจารึก ศรีอ่อน, พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา, นางศรีนวลบุญลือ และ น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ซึ่งการกระทำดังกล่าว ผลที่เกิดขึ้นนอกจากจะส่งผลเสียต่อตัวพรรคอนาคตใหม่เองที่ไม่สามารถอ้างสิทธิ์ให้คำนวณ สส. ปาร์ตี้ลิสต์ใหม่ได้แล้ว ยังส่งผลเสียต่อฝ่ายค้านด้วย เพราะแต่เดิมเสียงของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านยังมีความใกล้เคียงกัน จนที่ผ่านมาฝ่ายรัฐบาลถูกมองว่าเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำมาแล้ว แต่ล่าสุดก็มีกระแสข่าวมาแล้วว่า สส. 4 คนที่ถูกขับนั้น เริ่มทยอยตบเท้าเข้าร่วมพรรคฝ่ายรัฐบาลแล้ว ซึ่งหาก สส. ทั้ง 4 นั้นเลือกเข้าร่วมฝ่ายรัฐบาลทั้งหมดจริง ย่อมส่งผลบวกต่อฝ่ายรัฐบาลและเป็นแต้มลบต่อฝ่ายค้านแน่นอน ซึ่งแนวโน้มที่ สส. ทั้ง 4 นั้นจะเข้าร่วมกับฝ่ายรัฐบาลก็มีสูงมาก หากวิเคราะห์จากการให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยถึงเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้เหตุการณ์การสูญเสีย สส. จากพรรค ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับซีกฝ่ายค้านเพียงฝ่ายเดียว แต่ยังเกิดขึ้นกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ด้วย หลังนายพีระพันธุ์ ประกาศลาออกจากพรรค แต่อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวก็ไม่ถือเป็นวงกว้างมากนัก เมื่อล่าสุดที่ประชุมครม. ได้มีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายพีระพันธุ์ เป็นที่ปรึกษานายกฯ ซึ่งถือเป็นการผันตัวในขั้วเดิม และพรรคประชาธิปัตย์ก็เลื่อนลำดับ สส.บัญชีรายชื่อขึ้นมาเหมือนเดิม มองดูแล้วเกมรุกของพรรคอนาคตใหม่ครั้งนี้จะเป็นคุณต่อตนเองหรือไม่?
“...ถ้าทนเรื่องเล็กไม่ได้ มันจะเสียเรื่องใหญ่”
สุมาอี้ จากเรื่อง สามก๊ก (1994)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี