ในงานวิจัยเรื่อง “Evaluating Information : The Cornerstone of Civic Online Reasoning” คณะนักวิจัยจากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างวัยรุ่น ตั้งแต่มัธยมปลายถึงปริญญาตรี จำนวน 7,804 คน กระจายไปใน 12 มลรัฐทั่วประทศสหรัฐฯ พบว่า 82% หรือเกือบ 6,400 คนของกลุ่มตัวอย่างนั้นไม่สามารถแยกแยะวินิจฉัย ข้อเท็จ-จริง จากข่าวสารที่อยู่ในโลกของสื่อสังคมออนไลน์ (social media) ได้ว่าชิ้นไหนเป็น ข่าวจริง (fact news) หรือ ข่าวปลอม (fake news)
คณะนักวิจัยยังพบว่าเด็กมัธยมปลายในสหรัฐฯส่วนใหญ่ออนไลน์กันประมาณเจ็ดชั่วโมงครึ่งต่อวัน ไม่นับเวลาที่อยู่ในโรงเรียน และขณะที่ออนไลน์อยู่ก็จะทำอะไรหลายๆอย่างไปในเวลาเดียวกัน ทั้งส่งข้อความ (texting) คุยกับเพื่อนและอ่านหนังสือไปด้วยพร้อมๆ กับดูวีดีโอ คลิป ต่างๆที่ถูกเผยแพร่กันในโลกโซเชียลมีเดียซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นอยู่ภายในโทรศัพท์เครื่องเดียวกันหมด
อันที่จริงแล้ว การติดตามข่าวสารที่มาจากแหล่งข้อมูลในสังคมโลกออนไลน์ปัจจุบันนี้อย่าว่าแต่เด็กวัยรุ่นระดับมัธยมปลายหรือปริญญาตรีเลยครับ ผู้ใหญ่วัยทำงานหรือแม้กระทั่งคนมีวุฒิปริญญาเอกจำนวนไม่น้อยก็ยังยากที่จะบอกถึงความแตกต่างระหว่าง ข่าวจริง กับข่าวปลอม ได้
และถ้าจะว่ากันต่อไปแล้ว แม้กระทั่งการรับข้อมูลข่าวสารแบบตรงไปตรงมาในช่องทางแบบเก่าอย่างเช่น ทีวี ก็ต้องใช้วิจารณญาณกันขนาดหนักในการสกัดหรือบีบคั้นตัวสาร (message) ที่ถูกสื่อออกมาเพื่อแยกระหว่าง ข้อเท็จ-จริง ออกจากกันเพื่อวิเคราะห์ว่าอันไหนเป็นข่าวปลอมที่โดยมากก็มักจะมีความจริงบางส่วนผสมอยู่ด้วยในระดับที่มากน้อยต่างกันไปในแต่ละเรื่องหรือข่าวที่เสนอความจริงเฉพาะแต่เพียงบางด้านหรือบางส่วนเพื่อนำไปสู่การสร้างความเข้าใจ จินตนาการหรือการคิดไปเองแบบผิดๆ ของผู้เสพต่อไป
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวันพุธที่ผ่านมา บรรดาสื่อกระแสหลักอเมริกันอย่าง CNN, FOX News และ MSNBCได้ถ่ายทอดสดการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการลงมติเพื่อถอดถอนประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา (นายโดนัลด์ เจ. ทรัมป์)ซึ่งคนอเมริกันที่ติดตามดูส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกเปิดดูเพียงช่องใดช่องหนึ่ง โดยสื่อแต่ละช่องก็จะทำการถ่ายทอดสดเหตุการณ์นี้ด้วยมุมกล้อง การจับภาพและการให้ข้อมูลตัววิ่งประกอบการรับชมด้วยลีลาที่แตกต่างกันไปตามแนวทาง นโยบาย อุดมการณ์ ไปจนถึงอคติ ความลำเอียงหรือความเป็นเจ้าเรือนที่ครอบงำจิตใจของสื่อในแต่ละค่าย
ครับ ก็ไม่ต่างอะไรจากสภากาแฟไทยที่ ออน ล็อก หยุ่น แถววังบูรพา หรือร้าน เฮียะ ไถ่ กี่ ตรงหัวมุมถนนประชาธิปไตย เยื้องๆ วัดตรีทศเทพ เพราะเป็นที่รู้กันดีในสภาโอเลี้ยงหรือคอกาแฟร้านสตาร์บัคส์ที่นั่งกิน American breakfast กันทุกเช้า แล้วถกเรื่องการเมืองกันว่า สื่อค่ายอย่างช่อง FOX News นั้นมีจุดยืนเอียงขวาไปทางพรรครีพับลิกันเต็มที่ ในขณะที่ช่อง MSNBC ก็ชัดเจนว่ามีอุดมการณ์แบบเสรีนิยม เอียงซ้ายไปทางพรรคเดโมแครต ส่วน CNN นั้นที่ผ่านมาก็พยายามที่จะเดินตามอุดมการณ์หรือทฤษฎีแบบตามตำราว่าสื่อนั้นต้องวางตัวเป็นกลางหรือหาจุดลงตัวที่อยู่ตรงกลาง แต่อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่นายทรัมป์เป็นประธานาธิบดี CNNก็ถูกกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์แขวนป้ายให้มาโดยตลอดเวลาว่าเป็นสื่อที่เลือกข้าง (เดโมแครต) ดังนั้น ถ้าบ้านใครมีโทรทัศน์ 3 เครื่อง แล้วเปิดดูไปพร้อมๆ กัน ก็จะเห็นความแตกต่างในรายละเอียดของการถ่ายทอด การให้ข้อมูลเป็นตัววิ่งประกอบการรับชมของแต่ละช่องในระหว่างการถ่ายทอดสด
เช่น ในขณะที่ MSNBC นำเสนอข้อมูลพฤติกรรมบางด้านของนายทรัมป์ เช่น มีการทวิตเตอร์จำนวนกว่า 11,390 ครั้งนับตั้งแต่เป็นประธานาธิบดีโดยยังให้รายละเอียดต่อไปอีกว่า 2,026 ครั้งเป็นการทวิตเตอร์ชื่นชมตัวเอง, แต่อีก1,713 ครั้ง กลับเป็นการด่ากราดคนโน้นคนนี้ไปทั่วจำนวนทั้งสิ้น 630 คน,ทวีตกระแหนะกระแหนเรื่องต่างๆ อีก 5,889 ครั้ง, ส่วนอีก 1,710 ครั้ง เป็นการสร้างทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theories)ขึ้นมาเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการให้ตนเองพ้นจากตำแหน่ง 36 ครั้ง เป็นกล่าวหาสื่ออย่าง CNN หรือ MSNBC ว่าเป็นศัตรูของประชาชน และอีก 16 ครั้งเป็นการกล่าวถึงตนเองว่าเป็นประธานาธิบดีที่คนอเมริกันทุกคนชื่นชอบ
ตรงกันข้ามกับ MSNBC ถ้าเปิดดูช่องเอียงขวาอย่าง FOXNews ผู้ชมก็จะเห็นข้อมูล ตัวเลขทางเศรษฐกิจ ดัชนีหุ้นการจ้างงานต่างๆ ที่ถูกนำมาแสดงให้เห็นถึงการบริหารประเทศที่ประสบความสำเร็จตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาส่วน CNN ก็อย่างที่บอกไว้ว่าก็พยายามจะนำเสนอข้อมูลประกอบการถ่ายทอดสดที่เป็นกลาง แต่ทำได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้ชมแต่ละคนไป
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าใคร มันก็ยากที่คนทั่วๆ ไปจะสามารถรับข้อมูลได้ครบถ้วนจริงๆ นอกจากคอการเมืองขนาดหนักหรือพวกคนทำข่าวมืออาชีพจริงๆ ที่ดูพร้อมกันทีละ 3 หรือ 4 ช่อง เพราะในทางจิตวิทยาแล้วคนเราล้วนแต่มีพฤติกรรมที่โน้มเอียงไปในทางเลือกรับ เลือกฟัง เลือกดูในสิ่งที่ตรงหรือสอดคล้องกับจริตหรือความคิด ความเห็นของตัวเองมากกว่า ซึ่งนักจิตวิทยาเรียกพฤติกรรมดังกล่าวว่า confirmatory bias หรือ myside bias ขณะที่นักรัฐศาสตร์เรียกพฤติกรรมแบบเดียวกันนี้ว่า partisan bias
ฉะนั้น ถ้าเราเชื่อว่าพฤติกรรมแบบ myside bias หรือ partisan bias เป็นธรรมชาติของสัตว์การเมืองประเภทที่เรียกว่ามนุษย์แล้ว (homo politicus) นับจากนี้ไปการไม่สามารถแยกแยะข้อเท็จ-จริงจากข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์ไม่ว่าของทั้งคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่าล้วนเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงในการติดตามข้อมูลข่าวทางด้านการเมืองเพราะในยุคสมัยนี้ที่ใครต่อใครก็สามารถที่จะแสดงบทบาทการเป็นสื่อหรือเป็นนักข่าวได้ ดังนั้นย่อมเป็นเรื่องง่ายมากที่นักสร้างข่าวปลอมจะอาศัยความไม่รู้ของผู้คนเพื่อการสร้างข่าวปลอมหรือ Fake News ขึ้นมาด้วยการให้ข้อมูลแบบผิดๆ หรือไม่ครบถ้วน (misinformation) การบิดเบือนข้อมูล (disinformation)ไปจนถึงการปล่อยข่าวลือ (rumor) เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาต่อไป
ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี