ปัญหาสำคัญของเกือบทุกประเทศในทุกวันนี้คือ มนุษย์ขาดเยื่อใยต่อกัน มนุษย์เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง และมนุษย์พร้อมที่จะใช้“ความเชื่อของตัวเอง” กับ “ความรุนแรง” เป็นเครื่องมือเผชิญหน้า
การเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางความเจริญ และศูนย์กลางความถูกต้อง เรียนรู้ได้จากเหตุการณ์ “จูบ” กับ “ตบ”
1) จูบ = สัญลักษณ์ของความรัก เป็นสิ่งสวยงาม เป็นเสรีภาพ?
18 ธ.ค. 2562 - ที่รัฐสภา กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT) ภาคประชาชน ยื่นหนังสือต่อ คณะกรรมาธิการคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ ให้ตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาการแก้ไข ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เรื่องเงื่อนไขการสมรส เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิทางเพศความเท่าเทียมกัน และจบการแถลงข่าวด้วยการ “จูบกันอย่างดูดดื่ม”
สื่อรายงานข่าวนี้ สังคมวิจารณ์การกระทำนี้ และเป็นเรื่องระเบิดเถิดเทิงขึ้น เมื่อนายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงชี้แจงถึงกรณีที่ปล่อยให้ชายสองคนจูบปากกันภายหลังยื่นหนังสือเกี่ยวกับข้อเสนอของภาคประชาสังคม เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อการคุ้มครองการสมรสในครอบครัวเพศหลากหลายว่า ต้องขออภัยและขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจากการเตรียมการของ กมธ. แต่เกิดขึ้นภายหลังการแถลงข่าวโดยไม่ได้คาดคิด และไม่รับทราบมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะถ้าทราบก็อาจจะให้แสดงความรักโดยวิธีอื่น เช่น การจับมือ มองหน้า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เรายังไม่ได้พูดคุยกับน้องทั้งสองคน แต่ก็จะต้องมีการไปตักเตือนว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ขณะเดียวกันจะนำเรื่องนี้ไปหารือใน กมธ. เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก พร้อมยอมรับว่าเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์รัฐสภา
แต่โลกออนไลน์และสำนักข่าวต่างๆ ก็เผยแพร่คลิปที่พบว่าก่อนที่ชาย 2 คน จะจูบปากกันนั้น นายธัญวัจน์ได้ยืนกำกับและนับถอยหลังให้ชายทั้งสองคนจูบปาก พร้อมกล่าวคำว่า “ห้า สี่ สาม สองหนึ่ง แอ๊กชั่น…” จากนั้นเมื่อชายทั้ง 2 คนจูบปากกันแล้วนายธัญวัจน์ก็ปรบมือแสดงความพอใจ
วันต่อมา หนึ่งในชายที่จูบปากกันอย่างดูดดื่มได้ชี้แจงว่า...
“...สวัสดีครับ ผมคือคนที่อยู่ในรูปด้านล่างนี้ซึ่งกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกสังคมออนไลน์ โดยในโพสต์นี้ผมจะขอนำเสนอสองประเด็น ได้แก่ ชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อไม่ให้บุคคลอื่นหรือภาคส่วนอื่นๆ ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ หรือด่าทอโดยที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ และยืนยันจุดยืนของผมว่าสิ่งที่ได้กระทำไปไม่ใช่เรื่องผิด แต่เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่ไม่ได้กระทบสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น
...ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ตามภาพผมได้เข้าร่วมการแถลงข่าวของภาคประชาชนจากชุมชนผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ(LGBTQ+) ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ แห่งสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการพิจารณาแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อให้ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ มีสิทธิตามกฎหมายอย่างเสมอภาคกับชายหญิงทั่วไป เช่น สิทธิในการจดทะเบียนสมรส สิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน และสิทธิในการจัดการทรัพย์สินร่วมกัน เป็นต้น
...ภายหลังจากที่มีการแถลง ประธานกรรมาธิการดังกล่าวรับหนังสือ และถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมและแฟนผม James Panumas ได้ตัดสินใจจูบกันเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมต่อผู้มีอำนาจในการตรากฎหมาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ได้มีการเตรียมการร่วมกับบุคคล หรือภาคส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมาธิการ พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนใดคนหนึ่ง หรือแม้แต่ภาคประชาชนที่มาแถลงในวันนี้ เป็นเพียงกันตัดสินใจร่วมกันระหว่างพวกผมสองคนเท่านั้น ดังนั้นหากจะวิพากษ์วิจารณ์การจูบกันของเราแล้วขอให้อย่าพาดพิงถึงบุคคล หรือภาคส่วนอื่น
...ผมยังขอยืนยันด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าสิ่งที่ผมและแฟนได้กระทำลงไปไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศซึ่งกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศไม่ได้ต้องการสิทธิพิเศษที่มากกว่าคนอื่นๆ แต่เราต้องการสิทธิที่ “เท่าเทียม” ตามกฎหมายเท่านั้น โดยการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์นี้เป็นเสรีภาพในการแสดงออกอันเป็นสิทธิมนุษยชนตามระบอบประชาธิปไตยที่ถูกรับรองไว้ในทั้งรัฐธรรมนูญ และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เราจะแสดงออกในลักษณะนี้
...หากจะกล่าวว่าเป็นที่สาธารณะของไม่ถูกต้องไปซะทีเดียวเพราะแม้แต่ Pete Buttigieg นายกเทศมนตรีเมือง South Bend มลรัฐ Indiana ประเทศสหรัฐอเมริกา และว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสังกัดพรรค Democrat ก็ได้เคยจูบกับคู่รักภายหลังการแถลงข่าวเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามผมเข้าใจแล้วว่าสังคมไทยยังไม่อาจเปิดรับคุณค่าเหล่านี้ในตอนนี้ ได้มีการกล่าวหาว่า เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม มีผู้โจมตีว่าเราหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องของความใคร่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ณ ขณะที่ผมได้จูบกันบริเวณที่แถลงข่าวนั้น พวกผมไม่ได้มีความใคร่ใดๆ มีแต่เพียงความรู้สึกที่ต้องการเรียกร้องสิทธิที่เท่าเทียม
...เหตุการณ์นี้ทำให้ผมมีแรงบันดาลใจในการต่อสู้เพื่อสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ เสรีภาพในการแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตยต่อไป อีกทั้งมันยังให้บทเรียนกับผมอีกว่า “เราไม่ได้กำลังต่อสู้กับแค่รัฐบาลเผด็จการ แต่เรากำลังต่อสู้กับบรรทัดฐานและจารีตอนุรักษ์นิยมและชุดความคิดแบบอำนาจนิยมที่ฝั่งรากลึกในสังคมไทย” อยู่อีกด้วย #จูบกลางสภา #FORDJAMES”
2) ถอดบทเรียน : จูบ...คุณคิดว่าไม่สำคัญ
ใช่ครับ จูบเป็นการแสดงความรักของคนสองคน ไม่ว่าจะเป็นคนเพศใดกับเพศใดก็ตาม แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราจะแสดงออกอย่างพร่ำเพรื่อ และไม่เลือก ‘กาลเทศะ’ แต่...
• เด็กสองคนนี้ไม่คิดว่าเป็นการแสดงออกพร่ำเพรื่อ
• เด็กสองคนนี้ไม่ให้น้ำหนักเรื่อง ‘กาลเทศะ’ ไม่ให้ใครอ้างด้วยว่าเป็นที่สาธารณะ พร้อมยกตัวอย่างคนในต่างประเทศคู่หนึ่ง ที่ทำได้ “หลังการแถลงข่าว”
• จูบ-สำหรับพวกเขา จึงเป็นเพียง “เครื่องมือ” ในการเรียกร้องความเท่าเทียมกันในกฎหมาย ไม่ได้สื่อสาร “กิจกรรมทางเพศ”จึงไม่ต้องระแวงกังวลเรื่อง “เทศะ” คือ สถานที่ ไม่ว่าจะเป็นที่สาธารณะ หรือ “สถานที่ราชการ” เพราะที่ตรงนั้น สำหรับพวกเขา เป็นแค่ “ที่แถลงข่าว”
3) แล้วใครถูก ใครผิด?
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่เกิดเหตุการณ์จูบกันภายในอาคารรัฐสภาระหว่างการแถลงเรียกร้องในเรื่องความหลากหลายทางเพศ ว่า เรื่องนี้มีระเบียบอยู่แล้ว แต่ระเบียบไม่ได้สำคัญเท่ากับความสำนึกและความรับผิดชอบกรณีที่เกิดขึ้นมาจากคนในเอง คนนอกไม่มีทางเข้ามาได้ ถ้าคนในไม่ได้วางแผนร่วมมือด้วย โดยเรื่องนี้ นางมุกดา พงษ์สมบัติสส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร ได้เข้ามาชี้แจงเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่านางมุกดาไม่ได้เป็นคนที่จะทำอย่างนั้น แต่ประธานกรรมาธิการยอมรับว่าอาจเป็นคนในกรรมาธิการกันเองที่เตรียมกันมา
“เรื่องระเบียบก็ปรับปรุงให้ทันกับเหตุการณ์ แต่เชื่อเถอะครับว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าคนไม่รับผิดชอบ คนไม่สำนึกในสิ่งที่ควรหรือไม่ควร ระเบียบออกมาอย่างไรก็ควบคุมคนประเภทนั้นได้ยาก เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้วก็ถือว่าเป็นบทเรียนที่คณะกรรมาธิการชุดอื่นๆ ต้องระวัง เพราะอาจจะมีคนที่ตั้งใจหรือคนในของเราเองที่ตั้งใจสร้างข่าวขึ้นมา ภาพไม่ดีเลยครับ ผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนก็โทรศัพท์มาหา ขณะที่ด้านหนึ่งพยายามจะสร้างมาตรฐานให้ดีขึ้น แต่ก็ยังหนีไม่พ้นที่จะมีคนบางกลุ่มพยายามทำให้ภาพสภาฯเสียหาย โดยอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือไปคิดเอาเองว่าเรื่องนี้เหมาะสม แต่จริงๆ แล้วใครก็รับไม่ได้”
นายชวนกล่าวอีกว่า เชื่อว่าข่าวที่ออกมาจะทำให้คณะกรรมาธิการหลายคณะระวังกันมากขึ้น ถ้าเราอ่านระเบียบและยึดตามนั้นปัญหาจะน้อยลง คนในอย่าไปเอาสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมของเรามาใช้ทุกเรื่อง เพราะบางเรื่องก็ไม่เหมาะกับประเทศเรา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ความเป็นอิสระของ สส. มีมากเกินไปหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า “ความเป็นอิสระของสส.ก็เป็นประโยชน์ เพราะสามารถแสดงความคิดเห็นได้ แต่คนที่มีความรับผิดชอบจะรู้ว่า ในเมื่อเขามีสิทธิก็จะต้องมีหน้าที่ด้วย ตรงนี้คือปัญหาของประเทศเราด้วย ไม่ใช่แค่ปัญหาภายในสภาฯ เราต้องฝึกคนของเราให้รู้จักหน้าที่เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบควบคู่กันไป”
ผมคิดว่า แนวคิดของนายชวน คือ แนวคิดของคนส่วนใหญ่ในสังคมที่ตั้งอยู่บนนิยามของคำว่า ควร/ไม่ควร และกาลเทศะ เพราะคนเหล่านี้ถูกอบรมขัดเกลา และหล่อหลอมให้ระมัดระวังต่อการ “เข้าสังคม” และการ “ใช้พื้นที่สาธารณะ” มันจึงนำมาสู่หลักปฏิบัติว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เพื่อไม่ทำให้สังคมติฉินนินทา หรือกระทบต่อระบบการให้คุณค่าและการยอมรับหรือปฏิเสธของสังคม
แต่ก็มีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ “ไม่รู้สึกรู้สา” ต่อแนวคิดเดิมๆ แบบนี้ อาจคิดด้วยซ้ำว่า ล้าหลังปิดกั้น คนจะรักกัน และ “แสดงความรัก” ประกอบการเรียกร้อง ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย
รหัส/หรือคำตอบที่พบคือ ความต่างใน “วิธีคิด” ของคน ที่ “ยึดเอาอะไร” เป็นสำคัญ ถ้ายึดเอาตัวเองเป็นสำคัญ ก็จะอธิบายจากตัวเอง ว่าฉันบริสุทธิ์ใจนะ ฉันไม่ได้มีอารมณ์ทางเพศเลยนะนี่แค่สัญลักษณ์นะ จนลืมใคร่ครวญอย่างมีสติว่า “การแสดงออกที่เหมาะสม” ที่ “สังคมรับได้” มันมีขอบเขตของมันอยู่ด้วยเช่นกัน เป็นเส้นที่ไม่จำเป็นจะต้องไป “ล้ำ”
กำลังจะเรียกร้องการยอมรับจากสังคม ก็ควรใช้วิธีที่สังคมจะยอมรับโดยเพ่งไปที่เนื้อหาว่า ทุกวันนี้ มนุษย์ไม่ได้ถูกนิยามแค่ความเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงตามอวัยวะเพศที่ติดตัวมาอีกแล้ว แต่“ความคิด-จิตใจ และความต้องการ” ของเขาต่างหาก ที่กำหนดวิถีชีวิตและการครองเรือน ดังนั้น ที่กฎหมายยังนิยามความเป็น “คู่สมรส/คู่ครอง”เอาไว้แค่ “ชายกับหญิง” มันจึงล้าหลังไปแล้ว ปิดกั้นโอกาสของ “ชายกับชาย” หรือ “หญิงกับหญิง” ที่เขารักกัน ร่วมชีวิตกัน แต่ขาดการรับรองจากกฎหมาย จนต้องสูญเสียสิทธิอันชอบธรรมหรือเสียโอกาสไปอย่างมากมาย ไม่ว่าสิทธิที่จะได้เป็นคู่สมรส การรับบุตรบุญธรรมการลงนามในการรักษาพยาบาล สิทธิทางทรัพย์มรดก ฯลฯทั้งๆ ที่เขาก็เป็น “มนุษย์” เหมือน “ชายกับหญิง” ดังนั้น ให้สิทธิของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันแก่พวกเราเถิด
เราไม่ได้เรียกร้อง “การร่วมรักเสรี” การร่วมรักหรือการแสดงออกถึงความรักจึงไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เรากำลังเรียกร้องความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ที่จะเป็นคู่ครองหรือคู่สมรสกันครับ เพราะแม้แต่ชาย-หญิง สังคมก็ไม่ได้ยอมรับให้มาดูดปากกันจ๊วบๆ ในที่สาธารณะเช่นเดียวกัน จึงอย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ตีความจากตัวเอง มองจากมุมตัวเองฝ่ายเดียว แต่จง “รักสังคม”“ห่วงใยสังคม” คำนึงถึง “สังคม” และ “พื้นที่สาธารณะ”ให้มากด้วย
อย่าไปรังเกียจว่า อะไรวะ สังคมมันไม่คิดจะพัฒนา/เปลี่ยนแปลงเลยใช่ไหม ไม่ใช่ครับ ดูอย่างประเพณีลอยกระทงสิครับ พอเราพูดเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ขอให้ลดจำนวนกระทงลง เปลี่ยนวัสดุของกระทง หนึ่งครอบครัวลอยเพียง 1 กระทง ผู้คนก็ยอมรับได้และเห็นดีด้วย นั่นบ่งบอกว่า สังคมเราพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปกับความมีเหตุมีผลของยุคสมัยได้ ไม่ใช่ดื้อด้านล้าหลัง จะเอาแต่จารีตคร่ำครึเดิมๆ อยู่อย่างนั้น
4) อาม่าตบเด็ก เด็กตบกลับ
เหลือพื้นที่สั้นๆ ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ จึงขอสรุปเลยละกันว่า “อาม่าคือเชื้อโรคของเหตุการณ์นั้น” กล่าวคือ ปัญหาทั้งปวงเริ่มขึ้นที่อาม่า ก่อนจะลุกลามไปสู่การทำผิดของคนอื่นๆ วิธีคิดที่ถูกต้องกับเรื่องนี้ ไม่ใช่ถามว่าเด็กผิดไหม ที่ตบกลับอาม่า หรือตบมาตบกลับไม่โกง แต่ต้องเริ่มต้นว่า ถ้าคนที่ “ขาดทักษะการเข้าสู่สังคมมนุษย์” อย่างอาม่า อยู่แต่ในเคหสถานของตัวเอง เรื่องนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ อาม่า (และคนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์แบบอาม่า) ไม่พร้อมและไม่เหมาะจะ “อยู่ร่วมกับมนุษย์คนอื่นๆ” เลยครับ เสียงดังในโรงเรียนที่เด็กกับผู้ปกครองนั่งติวกันอยู่ พอเขาเตือน อาม่าโกรธ ไปด่าเขา ทะเลาะแม้กับเด็กอนุบาล พอเด็กม.3 คนนี้เตือน (ซึ่งมีคำที่ไม่ควรกล่าว คือ สาระแน) ก็ยิ่งบันดาลโทสะ ถึงกับใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา นั่นคือ ตบหน้าเด็ก อาม่าไม่มีสิทธิจะตบหน้าเขาครับ ทันทีที่ไปตบหน้าเขา เขาก็โต้กลับได้ด้วยกลไกอัตโนมัติประการหนึ่ง ด้วยโทสะแบบเดียวกันประการหนึ่ง ถ้าเป็นคดี อาม่าผิดครับ อาม่า “ทำร้ายร่างกาย” อาม่า “สร้างความเดือดร้อนรำคาญ” ขนาดผู้ชายคนหนึ่งที่ช่วยห้ามปรามจับแขนอาม่า อาม่ายังด่าเขาว่า “มึงจับมือกูทำไม ผู้ชายเฮงซวย” แหม...อาม่าสวยมากเลยนะครับ จนผู้ชายอยากจับมือถือแขน อาม่าคลุ้มคลั่งครับ ความฉิบหายทั้งปวงที่เกิด เกิดจาก“ความไม่มีสติ” ของอาม่าคนเดียวเลยครับ แล้วมันทำให้คนอื่นเขา “สติแตก” ตามมาเป็นลูกโซ่ ผมถึงใช้คำว่า “อาม่าคือเชื้อโรค” ในเหตุการณ์ ที่ทำให้เกิด “โรคโกรธและขาดสติระบาด”
5) จูบ...ก็ลบ ตบ...ก็เละ
ทั้งจูบและตบมีปัญหาเดียวกัน คือ ทักษะการเข้าสังคม และทักษะการอยู่ร่วมกับสังคม เอาตัวเองเป็นใหญ่เป็นศูนย์กลางเป็นความถูกต้องชอบธรรม ไม่ระมัดระวังต่อ “พื้นที่ส่วนรวม” ที่ต้องใช้ร่วมกันอย่างมีสติ
หากเราจะเรียนรู้อะไรจากสองเหตุการณ์นี้ เรื่องสำคัญที่สุดคือ หันมาอบรมสมาชิกในครอบครัวของเราให้รู้จัก“เข้าสังคมมนุษย์” กันเถิดครับ!! นั่นรวมไปถึงกรรมาธิการที่เอาแต่ “กัดกันเหมือนหมา ขัดแข้งขัดขาจนไม่เป็นอันทำงาน” และอาจรวมถึงนายกรัฐมนตรีที่ภาวะอารมณ์ไม่พร้อมจะเข้าสังคมมนุษย์เป็นบางครั้งคราวด้วย!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี