รองศาสตราจารย์ ดร.ไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ กับผม เคยทำงานใกล้ชิดกันมากที่ ป.ป.ช. ตอนที่เราร่วมกันเป็นคณะทำงานพิเศษเพื่อติดตามการจัดหารถเมล์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติหรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่ารถเมล์ NGV กรณีนี้มีความพิเศษกว่ากรณีอื่นๆ ทั่วไป เพราะปกติแล้ว ป.ป.ช. จะเริ่มทำการเสาะหาข้อมูลเพื่อสืบสวนข้อเท็จจริงก็ต่อเมื่อมีผู้มาร้องเรียนว่าเกิดกรณีการทุจริตขึ้น ซึ่งทำให้ฝ่ายปราบโกงเป็นผู้ตามคนโกงอยู่เสมอ ทำให้ตามจับไม่ทัน หรือถ้าทันก็เอาเงินคืนไม่ได้ แต่ในกรณีโครงการการจัดหารถเมล์ NGV นั้น ป.ป.ช. เปลี่ยนบทบาทเป็นผู้นำบ้าง โดยหลังจากที่เริ่มมีคำวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อต่างๆ ว่ามีการใช้เงินมากมหาศาลเกินกว่า 69,000 ล้านบาท ซึ่งคาดเดากันว่ามากกว่าความเป็นจริงไปมาก อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่ง คือ ศาสตราจารย์ ดร.เมธี ครองแก้วในฐานะประธานคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ได้เสนอให้กรรมการ ป.ป.ช. ตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาข้อเท็จจริงโครงการจัดหารถเมล์เอ็นจีวี(โดยการเช่า) 4,000 คันในทันที โดยคณะทำงานนี้มีกำลังสำคัญคือ รศ.ดร.ไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ และ รศ.ดร.สิริลักษณา คอมันตร์ ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ทั้งคู่ และมีผม เป็นวิศวกรอยู่ร่วมในคณะทำงานนี้ด้วย
คณะทำงานชุดนี้ได้เชิญบุคคลต่างๆ มาให้ข้อมูล จึงได้พบว่าที่มาของโครงการเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง และตัวเลขค่าเช่ารถยังสูงกว่าการซื้อเป็นอย่างมาก ในที่สุดเมื่อ ป.ป.ช. ได้แถลงผลการศึกษาของคณะทำงานชุดนี้จึงทำให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนโครงการใหม่ และต่อมาอาจารย์ไพโรจน์ก็ได้มาเป็นประธานคณะทำงานศึกษาข้อเท็จจริงโครงการจัดหารถเมล์เอ็นจีวีของ ขสมก. เพื่อเฝ้าดูแผนโครงการใหม่ของ ขสมก. ที่จะปรับเปลี่ยนเป็นการจัดซื้อแทนการเช่า
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ไพโรจน์ในขณะนั้นก็ยังไม่พอใจกับราคากลางของรถเมล์ NGV ในโครงการใหม่นี้ อาจารย์ได้ออกค้นหาข้อมูลราคาจากเอกชนต่างๆ ที่ได้นำรถ NGV เข้ามาให้บริการแล้ว และยังได้เปิดค้นหาราคารถเมล์ที่เสนอขายกันอยู่ทางอินเตอร์เนตอย่างไม่ลดละ จนสามารถผลักดันให้ราคากลางรถเมล์ลดลงมาได้อีกคันละประมาณ 1 ล้านบาท นั่นหมายความว่าถ้า ขสมก. ยังจะจัดซื้อรถเมล์จำนวนเท่าเดิม ก็จะช่วยชาติประหยัดเงินได้มากกว่า 3,000 ล้านบาททีเดียว
อาจารย์ไพโรจน์เป็นคนที่มุ่งมั่นเอาจริงเอาจังมาก ครั้งหนึ่งในขณะที่เรากำลังประชุมกันอยู่ที่ ป.ป.ช. สหภาพ ขสมก. ยกขบวนมาล้อมสถานที่ประชุม และส่งเสียงเรียกให้อาจารย์ลงไปพบในฐานะประธานคณะทำงาน โดยกล่าวหาว่าเป็นคนขัดขวางการแก้ไขปรับปรุงกิจการรถเมล์เพื่อประชาชนคนยากจน อาจารย์ก็รับฟังอย่างใจเย็นและทดลองเปลี่ยนจากการขับรถไปนั่งรถเมล์ไปทำงานเพื่อให้เข้าใจปัญหาจริงๆ
นอกจากบทบาทในการต่อต้านคอร์รัปชันในทางปฏิบัติแล้ว อาจารย์ไพโรจน์ยังเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สนใจในเรื่องรัฐวิสาหกิจที่ผูกขาดอย่างไม่มีประสิทธิภาพและไม่โปร่งใส อาจารย์จะพูดเรื่องนี้อยู่เสมอ และทำวิจัยและเขียนบทความวิชาการเป็นประจำ ผลงานสำคัญชิ้นหนึ่งที่อาจารย์เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย โดยเขียนร่วมกับนักวิชาการด้านธรรมาภิบาลและต่อต้านคอร์รัปชันอีกหลายท่าน เช่น ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ และคณะ คืองานวิจัยเรื่องธรรมาภิบาลในองค์กรของรัฐ : กรณีศึกษารัฐวิสาหกิจไทย ในปี พ.ศ.2552 ที่ศึกษาธรรมาภิบาลในเชิงกระบวนการหรือวิธีการทำงานของรัฐวิสาหกิจไทยจำนวน 7 แห่ง ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) สำนักงานฉลากกินแบ่งรัฐบาล บริษัท ทีโอทีจำกัด (มหาชน)
งานวิจัยชิ้นนี้ค้นพบว่า มีปัญหาที่เกิดจากกลไกภายนอก และ กลไกภายใน ที่ทำให้กระบวนการทำงานของรัฐวิสาหกิจไทยขาดธรรมาภิบาล โดยปัญหาจากลไกภายนอกนี้ คือ กฎกติกาหลายข้อทำให้รัฐวิสาหกิจไทยมีข้อจำกัดในการทำงาน และไม่สร้างแรงจูงใจให้รัฐวิสาหกิจทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น รัฐวิสาหกิจมักได้รับสิทธิประโยชน์หลายอย่างเหนือบริษัทเอกชน รัฐวิสาหกิจบางแห่งมีวัตถุประสงค์ไม่ชัดเจนและมีเป้าหมายที่ขัดกันเอง จนทำให้ไม่สามารถประเมินการทำงานได้อย่างเหมาะสม จึงไม่สามารถหาผู้รับผิดชอบต่อผลงานตามแต่ละเป้าหมายได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังพบการทับซ้อนของฝ่ายกำกับดูแลกับฝ่ายที่ดำเนินงานทำให้ขาดความโปร่งใส และเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ จึงเปิดช่องโหว่ให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซงได้โดยง่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดของการขาดธรรมาภิบาล
ส่วนปัญหาของกลไกภายในนั้น งานวิจัยพบว่า กระบวนการได้มาของคณะกรรมการและคุณสมบัติของคณะกรรมการนั้นไม่เหมาะสม โดยรัฐวิสาหกิจหลายแห่งมีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตอบแทนผลประโยชน์ทางการเมือง ทำให้กรรมการจำนวนมากขาดความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่ตรงและเหมาะสมกับงานหรือวัตถุประสงค์ขององค์กร ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของการสร้างเสริมธรรมาภิบาลในองค์กร ทำให้รัฐวิสาหกิจหลายแห่งประสบปัญหาต่างๆ นานาในการบริหารจัดการและดำเนินกิจการให้มีประสิทธิภาพ
งานวิจัยชิ้นนี้ได้นำเสนอทางออกไว้ว่า ต้องขจัดอิทธิพลของฝ่ายการเมืองที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ต้องแก้ไขกฎ กติกาที่ล้าหลังและไม่จำเป็น ต้องแยกฝ่ายกำกับดูแลและฝ่ายปฏิบัติงานออกจากกัน ต้องกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กรให้ชัดเจน เพื่อการสร้างตัวชี้วัดการดำเนินงานที่ชัดเจน และสร้างระบบการรับผิดชอบต่อการใช้ดุลยพินิจ กฎ กติกาต้องลดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างรัฐวิสาหกิจและเอกชน เพื่อสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน และที่สำคัญต้องกำหนดที่มาและคุณสมบัติของคณะกรรมการให้เหมาะสมและชัดเจน เพื่อป้องกันการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง
วันนี้ประเทศไทยต้องสูญเสียนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำและนักต่อต้านคอร์รัปชันมากประสบการณ์ไปอีกคนหนึ่ง ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของอาจารย์ไพโรจน์เป็นอย่างยิ่ง อาจารย์ได้สร้างประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองไว้อย่างมหาศาล และผมเชื่อว่าผลงานและคุณงามความดีที่อาจารย์ได้ประกอบมาตลอดชีวิตของอาจารย์นั้น จะยังเป็นประโยชน์ต่อคนไทยรุ่นต่อๆ ไปอีกอย่างมากครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี