สิ้นปีใกล้เข้ามาทุกขณะ คนทำงานเตรียมสางงานเก่าหรือย้ายงานที่ใหม่ ประชาชนเตรียมจะเฉลิมฉลองหรือกลับบ้านต่างจังหวัด เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัว ในขณะที่รัฐบาลชวนภาคส่วนต่างๆ ที่ต่างลดอุณหภูมิทางการเมือง คืนความสุขให้ประชาชน โดยหน่วยงานภาครัฐนำร่องพร้อมใจกันออกแคมเปญโครงการของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2563 แก่ประชาชน
ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงคมนาคม ที่ออกมาตรการ 5 กลุ่มหลักทั้งทางถนน ทางอากาศ ทางน้ำ ทางราง เพื่อช่วยประชาชนลดรายจ่ายและอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ หรือ กระทรวงพลังงาน ที่ออกมาตรการตรึงราคาน้ำมัน-ค่าไฟฟ้า หรือ กระทรวงมหาดไทย ที่ให้สถานธนานุบาล ของ อปท. ลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า รวมถึงกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มอบ 4 ของขวัญปีใหม่ ทั้ง การมอบเงินอุดหนุนเพื่อดูแลเด็กแรกเกิด บ้านเช่าราคาพิเศษ และบ้านพอเพียงชนบท เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ นอกจากจะเป็นของขวัญที่มอบขวัญและกำลังใจแก่ประชาชนแล้ว ยังถือเป็นโอกาสในการหยุดพักหายใจหายคอของภาคการเมืองส่วนต่างๆ เพื่อเตรียมกาย ใจ ให้พร้อมในศึกปีชวด ปีหน้าอีกด้วย
ทว่าก่อนถึงวันนี้ เมื่อหันมามองภาพรวมในสถานการณ์ส่งท้ายปี ก็ไม่อาจละทิ้งความน่าสนใจลงไปได้ ไม่ว่าจะทั้งซีกฝ่ายรัฐบาลและซีกฝ่ายค้าน ที่ต่างมีเหตุการณ์ให้ระทึกใจ และลุ้นในรายละเอียดที่อาจเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ตลอด ซึ่งผลของความเปลี่ยนแปลงนั้นก็ส่งผลได้ทั้งบวกและลบขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายใดเป็นผู้ได้ประโยชน์? ซึ่งศูนย์กลางของความผันผวนดังกล่าว พรรคพลังประชารัฐในฐานะแกนนำฝ่ายรัฐบาลน่าจะเป็นผู้ที่เผชิญความปั่นป่วนมากที่สุด แต่สุดท้ายกลับได้ประโยชน์มากที่สุดใช่หรือไม่?
อย่างล่าสุด แม้จะเผชิญกับกระแสข่าวการเปลี่ยนแปลงตัวเลขาธิการพรรคมาตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าหากเกิดขึ้นจริง ย่อมส่งผลให้เกิดความปั่นป่วนภายใน แต่ท้ายที่สุด เมื่อสิ้นสุดการประชุมใหญ่ของพรรค นอกจากจะไม่เกิดการเปลี่ยนตัวเลขาฯ อย่างที่คาดการณ์แล้ว ยังมีเรื่องของการเพิ่มสัดส่วนกรรมการบริหารพรรคจำนวน 17 คนแทน ซึ่งในจำนวนดังกล่าว ก็ปรากฏชื่อของบุคคลอย่างนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน, นายไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งก็เท่ากับเป็นการสะท้อนให้เห็นกลายๆ ว่าที่ผ่านมาการจัดสรรกำลังคนตามพื้นที่ต่างๆ อาจจะยังไม่เกิดประสิทธิผลมากเท่าที่ควร ฉะนั้นแล้ว การจะมองว่าพรรคพลังประชารัฐพลิกจากกระแสที่จะส่งผลลบต่อพรรค มาเป็นกระแสบวกด้วยการปรับโครงสร้างพรรคให้เข้มแข็งขึ้น และยังสะท้อนความเกรงกลัวหลุดออกจากศูนย์กลางอำนาจของแกนนำแต่ละกลุ่มในพรรค ยิ่งชี้ชัดถึงความเหนียวแน่นของกลุ่มภายในที่แม้จะมีหลายกลุ่มแต่ยังไม่มีใครยอมหลุดออกจากศูนย์กลาง เหมือนกับที่พรรคอื่นกำลังเผชิญในตอนนี้ โดยเฉพาะประชาธิปัตย์ หรือไม่?
ต่อเนื่องกับการพลิกเกมดังกล่าวของพรรคพลังประชารัฐ ก็ทิ้งช่วงไม่นานนักกับการแก้เกมทางการเมืองกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี เงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาลคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งทีแรกในเงื่อนไขดังกล่าวนั้นเอง หลายฝ่ายมองว่าจะเป็นจุดสำคัญ ที่อาจจะทำให้เกิดผลที่ไม่คาดคิดขึ้นกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นได้ แต่เมื่อดูจากกระแสข่าวล่าสุดที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ ได้รับเลือกเป็นประธาน กมธ. แก้รัฐธรรมนูญ ปัญหาดังกล่าวก็ดูจะไม่ยากเกินกว่าจะแก้ไข? เพราะการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งดังกล่าว ของนายพีระพันธุ์ ก็นับว่าเป็นการตอบประเด็นข้อสงสัยต่างๆ ที่ผ่านมาอย่างกลายๆ แล้วใช่หรือไม่? ไม่ว่าจะเป็นช่วงจังหวะของการยุติบทบาทกว่า 30 ปี กับพรรคประชาธิปัตย์ สอดรับกับจังหวะขึ้นนั่งเป็นที่ปรึกษานายกฯ ในเวลาถัดมา และล่าสุดได้รับเลือกให้เป็นประธาน กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งจากบทบาทและตำแหน่งที่ได้รับล่าสุด แน่นอนว่าหลายฝ่ายย่อมมองเห็นถึงแนวทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อจากนี้ว่าจะออกมาในรูปแบบใด และอาจจะมีทางออกใหม่ๆ ให้กับฝ่ายรัฐบาล ต่างจากที่หลายฝ่ายกังวลไว้ทีแรก?
นอกจากเรื่องของฝีเท้าผู้เล่นและการจัดแผนของผู้จัดการทีม ที่ทำให้ทีมฟุตบอล พล.อ.ประยุทธ์ ยิงประตูตีเสมอและพลิกเกมขึ้นนำได้แล้ว ยังได้ลูกส้มหล่นตอกย้ำเป็นประตูที่สาม? ด้วยเรื่องของขวัญปีใหม่ ที่มาจากการเดินเกมพลาดของพรรคอนาคตใหม่? ที่ได้ปล่อยตัว 4 สส. ออกจากพรรค ได้แก่ นายจารึกศรีอ่อน, พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา, นางศรีนวลบุญลือ และ น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ จากกรณีการโหวตสวนมติพรรค ซึ่งล่าสุด 2 คนจากจำนวนดังกล่าว ก็ได้แสดงจุดยืนใหม่เข้าร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว นั่นคือ นางศรีนวล ที่เปิดตัวกับพรรคภูมิใจไทย และ น.ส.กวินนาถ ที่ประกาศเข้าร่วมกับพรรคพลังท้องถิ่นไท ซึ่งตามรูปการณ์แล้ว แม้จะเป็นความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของพรรคอนาคตใหม่ก็ตาม? แต่ผลที่เกิดขึ้นคือเป็นการเพิ่มแต้มบวกให้กับพรรคฝ่ายรัฐบาลไปโดยอัตโนมัติ เพราะตอนนี้แม้จะมาแค่สอง แต่เป็นการย้ายข้างเท่ากับมีระยะห่างกัน 4 คะแนน เปลี่ยนจากรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำเป็นรัฐบาลเขื่อนเก็บน้ำ เพราะดูๆ ไปแล้ว ยังมีพื้นที่เหลืออีกเยอะ ที่จะเก็บคะแนนเสียงจากขั้วตรงข้ามที่ยังหลั่งไหลมาไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นเสียง สส. ที่คอยเพิ่มให้ฝ่ายรัฐบาลเป็นครั้งคราว
อย่างท่าทีล่าสุดของพรรคเศรษฐกิจใหม่ และพรรคประชาชาติ ที่ยกมือโหวตเข้าทางรัฐบาล ซึ่งหากยังเกิดเรื่องทำนองดังกล่าวขึ้นอีกจากขั้วฝ่ายค้าน ก็เท่ากับว่ารัฐบาลจะได้คะแนนเสียงมาเติมอีกราวๆ 10 เสียงเลยก็เป็นได้? ยังไม่นับรวมถึงเสียงจาก สส. ที่กลายมาเป็นเสียงหลักแก่ขั้วรัฐบาลอย่างเป็นที่ประจักษ์อีกทั้งจากการเลือกตั้งซ่อมที่ขอนแก่น และนครปฐม ที่แปรเปลี่ยนสมการทางการเมืองใหม่จากเดิมที่แพ้มาเป็นชนะในพื้นที่การเลือกตั้งเดิม จนได้ สส. มาเติมเสียงในมือเพิ่มขึ้นชัดๆ 2 เสียง ซึ่งแม้จะแตกต่างในรายละเอียดบางประการในการเลือกตั้งซ่อมของทั้ง 2 พื้นที่
แต่สิ่งร่วมอย่างหนึ่งที่สำคัญนั่นก็คือพรรคฝ่ายค้าน ทั้งพรรคอนาคตใหม่และเพื่อไทย ต้องเร่งวิเคราะห์หาข้อสรุปถึงความพ่ายแพ้ดังกล่าว ให้เร็วที่สุด เพื่อเป็นบทเรียนในการต่อสู้ในรูปแบบที่แตกต่างออกไปในปีหน้า หากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว การต่อสู้ครั้งหน้าระหว่างฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลอาจจะไม่ใช่ครั้งที่ 3 แต่อาจเป็นครั้งสุดท้ายในรัฐบาลสมัย พล.อ.ประยุทธ์ ใช่หรือไม่? เพราะหลังจากนี้คะแนนเสียงซีกรัฐบาลอาจดีดตัวขึ้นจนทิ้งห่าง ซึ่งจะเป็นเพราะมีเหตุอะไรอีก
หรือไม่คงต้องติดตาม?
“…ไหมเส้นเดียวไม่เป็นด้าย ต้นไม้ต้นเดียวไม่เป็นป่า...”
เล่าปี่ จากเรื่องสามก๊ก (1994)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี