คอลัมน์ FootNote ของหนังสือพิมพ์ “ข่าวสด” เขียนเรื่อง “เงาสะท้อนฉายาว่ารัฐอิสระ ฉายลึกไปยัง‘ประชาธิปัตย์’ ด้วยการพรรณนาความว่า...
“...ฉายา “รัฐอิสระ” อันนักข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลมอบให้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ลึกซึ้งและกว้างไกลอย่างยอดเยี่ยมในทางรัฐศาสตร์ทางการเมือง
...ความหมายไม่เพียงครอบคลุมท่วงทำนองการเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น หากหมายรวมไปถึง “พรรคประชาธิปัตย์” อย่างมีนัยสำคัญ บทสรุปนี้จึงเป็นตัวแทนความรู้สึกอันมาจากรัฐมนตรีคนอื่น และจากพรรคพลังประชารัฐ เพราะที่พรรคพลังประชารัฐคุมได้มีแต่เพียง กระทรวงการคลังเท่านั้น มิใช่กระทรวงพาณิชย์ มิใช่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
...การดำรงอยู่ของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ การดำรงอยู่ของ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน จึงไม่แตกต่างไปจาก “รัฐอิสระ” ...ความหมายของ “รัฐอิสระ” เป็นความแจ่มชัดตั้งแต่แรกตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลก่อนวันที่ 5 มิถุนายน 2562 มาแล้ว...สัมผัสได้จาก “เงื่อนไข”...เป็นเงื่อนไขการผลักดันนโยบายประกันราคา ไม่ว่าจะเป็นยางพารา ไม่ว่าจะเป็นข้าว ไม่ว่าจะเป็นปาล์มน้ำมัน อันล้วนเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ...เป็นเงื่อนไขที่จะต้องมีการแก้ไข “รัฐธรรมนูญ”กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จำเป็นต้องบรรจุเป็น 1 ใน 12 นโยบายเร่งด่วน กลายเป็น “บ่วง” คล้องคอของ “รัฐบาล” ไม่ว่าจะแก้เกมด้วยการดึงเอา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มานั่งเป็นประธาน “บ่วง” นี้ก็ยังพันอยู่โดยรอบ...รอบลำคอแข็งแกร่งของ “อิเหนาเมาหมัด” ไม่แปรเปลี่ยน
...พรรคประชาธิปัตย์อาจเคยอ่านงานของ พล.ต.หลวงวิจิตรวาทการ มาแล้วอย่างเจนจบ โดยเฉพาะเมื่อแยกจำแนกบทบาทและความหมายระหว่างม้ากับควาย
...ควายดำรงอยู่อย่างเชื่องๆ ขณะที่ม้าดำรงอยู่อย่างที่เรียกว่าพร้อมจะดีดกะโหลก ควายจึงไม่ได้รับความสนใจปล่อยให้นอนจมปลักไป ขณะที่ม้าจะได้รับการอาบน้ำ เช็ดถู และแต่งองค์ทรงเครื่องโอ่อ่าอลังการ พรรคประชาธิปัตย์จึงเป็น “ม้า” มิใช่ “ควาย” แบบบางพรรค
...การเพรียกหา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ การเพรียกหานายเฉลิมชัย ศรีอ่อน จึงดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในระหว่างงานเลี้ยงทางการเมือง เป็นการเพรียกหาและต้องการความอบอุ่นอย่างเป็นพิเศษ”
บทความนี้มี “ความแหลมคม” เมื่อมองมาจาก “มุมหนึ่ง” แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง ผมกลับเห็นความเป็น “ประเทศราช” มากกว่าความเป็น “รัฐอิสระ”
ประเทศราชต่างจากรัฐอิสระตรงที่ ผู้นำรัฐอิสระนั้น จะสู้เพื่อปกป้องเมือง พลเมือง เกียรติยศและศักดิ์ศรีจนตัวตาย มิยอมพ่ายยอมแพ้ ยอมเสียเมือง เสียพลเมือง เสียเกียรติประวัติได้โดยง่ายแต่เจ้าประเทศราชจะย้ำบทบาท “ความสวามิภักดิ์” เพื่อมิให้“เมืองใหญ่” ที่ตนนำข้าทาสบริวารไป “ขึ้นตรง” เกิดความระแวงระวัง จนถูกควบคุมราวกับเป็น “เมืองเชลย”
หากข่าวสดจะมอง “พัฒนาการ” ของ “เงื่อนไข” และความ “จริงใจ” กับเงื่อนไขนั้นๆ จะเห็นอีกด้านระหว่างควายกับม้า ว่ามันมีการ “แสดง” สองบทบาทนี้ พลิกไปพลิกมา จนอาจเป็น “สัตว์หิมพานต์” ประเภท “อัสดรกระบือ” ชนิดที่ “เมืองใหญ่” ตาปรือก็เป็นได้
1) เริ่มต้นจาก “เงื่อนไข” ของการเข้าร่วมรัฐบาล ประชาธิปัตย์ประกาศเข้าร่วมด้วยเงื่อนไขว่า ต้องได้ช่วยเหลือประชาชนด้วยการขับเคลื่อนนโยบาย “ประกันรายได้” ในพืช 5 ชนิด คือ ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง และข้าวโพด เงื่อนไขนี้คือการต่อรองต้องได้ “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” กับ “กระทรวงพาณิชย์” มาอยู่ในการสั่งการ บังคับบัญชา
2) เงื่อนไขที่สองคือ “อย่าให้มีการทุจริต” เมื่อใดมีการทุจริตจะขอถอนตัวทันที เงื่อนไขนี้เพื่อรักษา “ราคา” ความเป็น “ประชาธิปัตย์ ซื่อสัตย์มืออาชีพ” ที่เป็นสโลแกนหนึ่งของพรรคตนเอาไว้ เป็นเสาค้ำ “ราคา” ของพรรคการเมืองที่เคยยิ่งใหญ่ ที่ต้องมาศิโรราบ เข้าพวกกับพรรค “เชียงกง” ที่หลายคนออกจะ “เทาๆ” เพื่อ “แยกสีเรา ออกจากสีเขา” เอาไว้ก่อน
3) เงื่อนไขที่สาม คือ ต้องแก้รัฐธรรมนูญ “เราอยู่ในฐานะพรรคขนาดกลาง เพราะฉะนั้นจะทำอะไร ไม่สามารถทำได้อย่างที่คิดทุกอย่าง และอย่างน้อยที่สุดพรรคก็คำนึงถึงการเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยยิ่งขึ้น ประสงค์ให้เห็นการจัดตั้งรัฐบาลเกิดขึ้นโดยเร็ว เท่ากับเป็นการปิดสวิตช์ คสช.ด้วย รวมถึงการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั่นคือ ที่เราต้องการเห็นประเทศเดินหน้าต่อไปโดยเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น” จุรินทร์ กล่าวไว้เมื่อ 20 มิถุนายน 2562 วันแถลงข่าวมติพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล
ทั้งนี้ในคำแถลงการเข้าร่วมรัฐบาลพลังประชารัฐ อย่างเป็นทางการของพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าเพราะเงื่อนไขที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอ ได้รับการตอบรับทั้ง 3 ข้อ คือ นโยบายแก้จน สร้างคน สร้างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายการประกันรายได้เกษตรกร ได้รับการยอมรับที่จะบรรจุไว้เป็นนโยบายของรัฐบาล / การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อพาประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นได้รับการตอบรับ เงื่อนไขในเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ก็ได้รับการตอบรับเช่นเดียวกัน โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้แจ้งให้ทราบว่า หากผิดไปจากเงื่อนไขดังกล่าว พรรคสามารถสงวนสิทธิ์ในการที่จะทบทวนในอนาคตได้ ในเรื่องของการเข้าร่วมรัฐบาล
4) นับแต่นั้นมา ในเงื่อนไขที่หนึ่ง นายจุรินทร์และคณะล้วนทุ่มเท “ทำงาน” หมาย “กอบกู้โอกาส” และสร้างผลงานให้ประชาชนเห็นและหวนกลับมา “เลือก” พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็น “เมืองใหญ่” อีกครั้ง ไม่ใช่เมืองเล็กเกือบร้างอย่างผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงผลการประชุม คณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ (กก.บห.)
ครั้งที่ 7/2562 ว่า ที่ประชุมรับทราบผลการปฏิบัติงานจากการที่คณะกรรมการบริหารพรรคฯ มอบให้ไปทำหน้าที่ในการร่วมรัฐบาล ซึ่งในหลายเรื่องมีความคืบหน้าสามารถดำเนินนโยบายได้สัมฤทธิ์ผลโดยเฉพาะนโยบายประกันรายได้สินค้าเกษตรทั้ง 5 ชนิด คือ ยางพารา ข้าว ปาล์ม มันสำปะหลัง และข้าวโพด ที่ขับเคลื่อนโดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรค ซึ่งได้เข้าไปทำหน้าที่ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรครับทราบและแสดงความพอใจเป็นอย่างยิ่งที่นโยบายประกันรายได้ซึ่งเป็นนโยบายของพรรคที่ได้ใช้หาเสียง ทั้ง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรค และ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคได้นำไปขับเคลื่อนจนเกิดประโยชน์กับพี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศ อันเป็นนโยบายที่มีส่วนสำคัญมากในการช่วยเหลือค่าครองชีพและเป็นการเติมรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรในช่วงระยะเวลานับจากวันที่มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 ถือว่าได้ทำสำเร็จเสร็จสิ้นและเป็นจริงภายในระยะเวลาไม่ถึง 5 เดือน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการย้ำในข้อเท็จจริงว่าการเข้าไปทำหน้าที่ด้วยการได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนั้น สามารถ “ทำได้ไวและทำได้จริง”
โดยหัวหน้าพรรค ได้กล่าวย้ำให้ที่ประชุมให้เห็นว่า ในปีหน้านี้นอกจากการเดินหน้าเพื่อจ่ายเงินส่วนต่างในโครงการประกันรายได้ตามงวดที่กำหนดไว้แล้ว ก็จะมีมาตรการเสริมด้านต่างๆ เพื่อผลักดันราคาสินค้าเกษตรทั้ง 5 ชนิดนี้ให้เติบโตขึ้นอย่างยั่งยืน และที่เห็นชัดที่สุดก็คือขณะนี้มาตรการเสริมในเรื่องของปาล์มมีปรับตัวราคาสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมาตรการติดตั้งมิเตอร์ถังวัดเก็บน้ำมันปาล์ม มาตรการป้องกันการลักลอบสวมสิทธิ์ มาตรการส่งเสริมการใช้ บี 10 ภาคบังคับและบี 20 เป็นทางเลือก มาตรการเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ราคาปาล์มสูงขึ้นและมีความยั่งยืนให้กับพี่น้องเกษตรกร สำหรับสินค้าเกษตรตัวอื่นๆ รัฐบาลจะได้มีนโยบายและมาตรการอื่นในการช่วยเหลือเกษตรกรแต่ละประเภทอย่างเหมาะสมต่อไป
ด้าน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีแนวทางในการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในปี 2563 เพื่อให้สามารถนำไปดำเนินการต่อยอดได้ คือ 1. การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ การเพิ่มแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก โดยได้มีการสำรวจพื้นที่ที่คาดว่าจะสามารถสร้างเป็นแหล่งกักเก็บน้ำได้ โดยเน้นในส่วนของแก้มลิง ในบริเวณลุ่มน้ำต่างๆ ที่ได้มีการทำแผนที่สำรวจเอาไว้แล้ว จะมีการเพิ่มคุณภาพและปริมาณการผันน้ำ จากลุ่มน้ำตะวันตกมาช่วยเหลือในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะมีการเพิ่มกำลังในการส่งน้ำจาก 800 ล้าน ลบ.ม./ปี เป็น 2,000 ล้าน ลบ.ม./ปี เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร และรักษาสมดุลระบบนิเวศ ของลุ่มน้ำเจ้าพระยา
2. การส่งเสริมสินค้าเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ จะมีการนำศาสตร์พระราชาและเกษตรทฤษฎีใหม่ เข้ามาเป็นนโยบายที่จะขับเคลื่อนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมีมาตรการในการ “ลด ละ เลิก” การใช้สารเคมี จะประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องเกษตรกรใช้สารเคมีให้น้อยที่สุด สำหรับพื้นที่ที่มีความพร้อม ก็จะขอให้ “ละ” การใช้สารเคมี และเป้าหมายสุดท้ายคือการเลิกใช้สารเคมี โดยจะมีการหาและพัฒนาสารชีวภัณฑ์ต่างๆ มาทดแทน รวมถึงการใช้มาตรการต่าง ๆ อาทิ การใช้เครื่องจักรกลการเกษตรมาทดแทนเรื่องแรงงาน เป็นต้น
3. การใช้ระบบการตลาดนำการผลิต จากนโยบายที่ดำเนินการมาในปี 2562 เพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าล้นตลาดและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ จึงได้มีมาตรการในการหาตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ เป็นการเพิ่มช่องทางในการขายให้กับผู้ผลิตสินค้าเกษตร ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของสหกรณ์ เกษตรแปลงใหญ่ วิสาหกิจชุมชน และกลุ่มเกษตร Young Smart Farmer ที่ต้องการจะสร้างความเข้มแข็ง เพื่อนำร่องในการปฏิรูปภาคการเกษตร ซึ่งจะมีหน่วยงานเข้าไปแนะนำตลาด ในเรื่องออนไลน์ อาทิ การร่วมมือกับ LAZADA Thailand ในการจัดอบรมการเข้าสู่ตลาดออนไลน์ การขายสินค้าเกษตรโดยตรง รวมถึงการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว และจะ KICK OFF โครงการในเดือนมกราคม 2563 และหลังจากนั้นจะดำเนินการในทุกภาคของประเทศไทย เพื่อดำเนินการส่งเสริมและขยายตลาดให้กับพี่น้องเกษตรกร
4.การลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มคุณภาพการผลิต ได้มีการตั้งคณะกรรมการการปรับปรุงปุ๋ย การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ของดิน หรือปุ๋ยสั่งตัด โดยมีเป้าหมายในการดำเนินการคือการลดต้นทุนในส่วนของค่าปุ๋ยลง 30% แต่ถ้าเกษตรกรมีความพร้อมในการใช้ปุ๋ยจากธรรมชาติ ทั้งปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยอินทรีย์ ทางภาครัฐก็พร้อมเข้าไปส่งเสริม ให้ความรู้ เพื่อให้เกษตรกรสามารถผลิตปุ๋ยไว้ใช้เอง อีกทั้งยังมีการใช้เทคโนโลยีมาพัฒนาพันธุ์พืช เพื่อปรับปรุงคุณภาพและผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องมีการพัฒนาการจัดส่งสินค้า (ระบบโลจิสติกส์) เพื่อลดการใช้จ่ายในการลดค่าขนส่งทุกประเภท ซึ่งมีการเจรจาทั้ง Kerry ไปรษณีย์ไทย และการบินไทย ถือเป็นมาตรการหนึ่งที่กระทรวงเกษตรฯ กำลังเร่งดำเนินการ
5.การบริหารจัดการประมงอย่างยั่งยืน ทั้งประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้าน สำหรับประมงพื้นบ้านได้มีการขึ้นทะเบียน ซึ่งขณะนี้มีการขึ้นทะเบียนแล้วประมาณ 50,000 กว่าลำ ส่วนประมงพาณิชย์จะเร่งส่งเสริมให้รักษาสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล เพื่อให้สามารถทำประมงได้ตลอดทั้งปี ซึ่งตลอดระยะเวลาดำเนินการภายใต้เงื่อนไขของ IUU ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมประมงได้มีของขวัญให้พี่น้องชาวประมง โดยการเพิ่มวันทำการประมงให้กับเรืออวนลากในอ่าวไทยอีก 30 วัน และในปี 2563 เรือประมงประเภทอื่น ทั้งในอ่าวไทยและอันดามัน (ยกเว้นเรืออวนลาก) จะทำการประมงได้ตลอดทั้งปี โดยกระทำภายใต้การรักษาสมดุลการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและภายใต้เงื่อนไขของ IUU
6. การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้เกษตรกร กระทรวงเกษตรฯ มีมาตรการที่จะส่งเสริมรายได้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องเกษตรกร ทั้งการจ้างงานของกรมชลประทาน ซึ่งขณะนี้ได้มีการตั้งงบประมาณไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ในขณะที่ไม่สามารถทำการเกษตรตามปกติได้ อีกทั้งจะมีการเพิ่มพันธุ์สัตว์น้ำทั่วประเทศ โดยเตรียมพันธุ์ปลา พันธ์ุกุ้งไว้ประมาณ 550 ล้านตัว และจะใช้เวลา 4-6 เดือน ทำให้พี่น้องเกษตรกรสามารถจับไปบริโภค หรือจับไปขาย เป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการเลี้ยงปศุสัตว์ที่มีความต้องการของตลาด ได้แก่ โค กระบือ แพะ และการแจกที่ดินทำกิน (ส.ป.ก.) ให้แก่เกษตรกรด้วย
7.การตั้งศูนย์เทคโนโลยีทางการเกษตร (Agri-technology and innovation center: AIC) โดยจะมีการตั้งศูนย์ AIC ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ และการจัดทำข้อมูลสารสนเทศด้านการเกษตร (Big data) เป็นการเชื่อมโยงกับ 10 หน่วยงานหลัก ซึ่งจะทำให้พี่น้องเกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลและสามารถเข้ามาตรวจสอบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ อาทิ การตรวจสอบศักยภาพพื้นที่โดยใช้ Agri-Map เพื่อจัดทำ Zoning เป็นต้น
5) แต่เงื่อนไขที่สอง “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ถูก “ลดระดับ”มาอยู่ที่ “การศึกษาแนวทางแก้ไข” ตั้งแต่ชั้น “แถลงนโยบาย” แล้วประชาธิปัตย์ไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้ หรือยอมรับได้ว่า มันก็ต้องเริ่มต้นจากการศึกษาก่อนนั่นแหละ (มิได้เสียงแข็งว่า ต้องแก้รัฐธรรมนูญเหมือนตอนเจรจาร่วมรัฐบาล มิได้ตะโกนกึกก้องกังวานว่า “ประชาธิปไตยวิปริต”เหมือนตอนปราศรัยที่เวที “ปฏิญญาทุ่งสง” อีกแล้ว)
6) การปรามให้สมาชิกพรรค ยึดเอา “มติของวิปรัฐบาล” เป็นใหญ่ ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันความเป็น “ประเทศราช” มิใช่รัฐอิสระ
แต่ก็หาใช่ประเทศราชที่เป็น “ควาย” ไม่ แม้ไม่ได้ “ดีด” ขนาดม้าแต่ว่าก็ใช้โอกาส “ยืมอำนาจ ยืมทรัพยากร” ของเมืองใหญ่มาสร้างผลงานไปเรื่อยๆ ลงพื้นที่มากขึ้น เจาะกลุ่มประชาชนภาคการเกษตร และพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มากขึ้น
อำนาจต่อรองยังมี แม้จะค่อยๆ ลดลงเมื่อ พปชร. สมานสามัคคีภายในกันมากขึ้น เมื่อ “พี่ใหญ่สายเอ็น” มาบัญชาการพรรคเอง เมื่อ “ลิงแตกฝูง” ย้อนกลับมากินกล้วย เมื่องูเห่าในพรรคฝ่ายค้านแสดงตัวเมื่อกระแสข่าว “เด็กฝากเลี้ยง” ในพรรคเพื่อไทยหนาหูและชัดขึ้น ประชาธิปัตย์คงจะเป็น “รัฐอิสระ” ได้น้อยลงเรื่อยๆ
และจะถูกทดสอบ ถูกบีบถูกกด ให้แสดงตนว่า “สวามิภักดิ์” ให้มากขึ้น ถึงจุดหนึ่งมันจะพิสูจน์ “ใจประชาธิปัตย์” ว่าจะอยู่อย่างรัฐอิสระหรือจะเป็น “ประเทศราช” ที่ถูกผนวกดินแดนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ “เมืองใหญ่” อย่างเต็มตัว ซึ่งอาจจะเรียกว่า “เมืองขึ้น” ได้ ในท้ายที่สุด ดังนั้นเพื่อไม่ให้ “ม้า กลายเป็น “ควาย” การตรวจจับทุจริตของฝ่ายรัฐบาล จึงเป็นงานที่ประชาธิปัตย์ต้องทำ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี