ตามปกติของข้าราชการพลเรือนนั้นเมื่อครบเกษียณอายุราชการแล้ว ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไปโดยปริยายมิใช่หรือ แล้วเหตุใดอาจารย์ที่อายุเกิน 60 ปี จำนวนมากยังคงยึดมหาวิทยาลัยของรัฐหลายต่อหลายแห่งเป็นที่ทำมาหากินได้ต่อไป บางรายอายุเกิน 70 ปีแล้ว แต่ยังคงฝังรากลึกเกาะกินและดูดผลประโยชน์ในมหาวิทยาลัยราวกับว่าตนเองหรือบรรพบุรุษของตนเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัย แต่ที่น่าอัศจรรย์ใจคือมิใช่แค่เพียงตนเองเท่านั้นที่เกาะและดูดกินผลประโยชน์ แต่ยังพาเอาพวกพ้อง พี่น้องลูกเมียและผัวเข้าไปทำมาหากินในมหาวิทยาลัยโดยปราศจากความกระดากอาย
เรื่องประหลาดจนกลายเป็นเรื่องอุบาทว์เช่นนี้บังเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยของรัฐหลายต่อหลายแห่ง เพราะปรากฏว่าผู้บริหารระดับสูงจำนวนมากของมหาวิทยาลัยหลายแห่งมีอายุเกิน 60 ปี
ต้องถามย้ำว่า ข้าราชการพลเรือนที่มีอายุเกิน 60 ปี สามารถรับตำแหน่งผู้บริหารในหน่วยงานของรัฐได้หรือในเมื่อเรื่องเช่นนี้ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน แล้วเหตุใดรัฐบาลไทยจึงยังปล่อยให้เกิดเรื่องอุบาทว์เช่นนี้ได้ตลอดเวลา หรือว่ามหาวิทยาลัยของรัฐเป็นสถานที่ที่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย
ขอยกตัวอย่างกรณีร้องเรียนที่กลายเป็นเรื่องฟ้องร้องถึงโรงถึงศาล อย่างเช่น คดีหมายเลขดำที่ บ. 13/2560 คดีหมายเลขแดงที่ บ. 2/2562 ศาลปกครองเชียงใหม่ ระหว่างรองศาสตราจารย์สุรินทร์ ยอดคำแปง ผู้ฟ้องคดี รองศาสตราจารย์ ว่าที่ร้อยตรี สกลแก้วศิริ ผู้ร้องสอด โดยมีผู้ถูกฟ้องคดีคือ สภามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ที่ 1 นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ที่ 2 ประธานกรรมการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นคณบดี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ที่ 3 โดยคดีที่ฟ้องร้องคือเรื่องคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
กล่าวโดยสรุปของการฟ้องร้องในคดีนี้คือ มีการยินยอมให้ผู้มีอายุเกิน 60 ปี หรือผู้เกษียณอายุราชการไปแล้วสมัครเข้ารับการสรรหาเป็นคณบดีทั้งๆ ที่มีอายุเกิน 60 ปี
ทั้งนี้หากพิจารณาตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 18 (ข) และมาตรา 65/2 ประกอบกับหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ได้ระบุเจตนารมณ์ว่าเพื่อปรับปรุงการกำหนดหลักเกณฑ์การต่อเวลาราชการของผู้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการเสียใหม่ เพื่อให้การต่อเวลาราชการเป็นไปตามความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งการสอนหรือวิจัย และตามความต้องการของสถาบันอุดมศึกษาเท่านั้น จะเห็นได้ว่าผู้ที่จะดำรงตำแหน่งคณบดีได้ต้องเป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาเท่านั้น หมายความว่าจะต้องไม่เป็นผู้ซึ่งได้เกษียณอายุราชการจึงจะดำรงตำแหน่งได้ ซึ่งเป็นการป้องกันมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดหรือคณบดีมีอิทธิพลต่อการบริหารจัดการของคณะกรรมการระดับคณะและในสภาของสถาบันอุดมศึกษา
ขอย้ำว่า เมื่ออ่านเนื้อหาสาระสำคัญข้างต้นแล้ว ก็จะพบได้โดยทันทีว่าผู้ที่เป็นข้าราชการพลเรือนสังกัดสถาบันอุดมศึกษาที่มีอายุเกิน 60 ปี ไม่สามารถดำรงตำแหน่งคณบดีได้
แต่ทั้งๆ ที่มีคำพิพากษาของศาลปกครองดังกล่าวแล้ว แต่ก็ยังคงปรากฏว่าในมหาวิทยาลัยหลายแห่งของรัฐยังคงมีผู้บริหารระดับสูง อาทิ อธิการบดี รองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี คณบดี และรองคณบดี เป็นบุคคลซึ่งเป็นอดีตข้าราชการพลเรือนที่มีอายุเกิน 60 ปี นั่งลอยหน้าสลอนอยู่ในตำแหน่ง
เมื่อพูดถึงประเด็นผู้บริหารระดับสูงในมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีอายุเกิน 60 ปีแล้ว ก็ต้องพูดถึงมหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีผู้บริหารระดับสูงอายุเกิน 60 ปีเป็นจำนวนมาก ซึ่งเรื่องที่ไม่ถูกต้องเช่นนี้ถูกอาจารย์ในมหาวิทยาลัยรามคำแหงจำนวนหนึ่งนำเรื่องไปฟ้องร้องต่อศาล และร้องเรียนต่อหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการหลายแห่ง แต่น่าอัศจรรย์ใจมากที่ยังคงปรากฏเรื่องผู้บริหารที่มีอายุเกิน 60 ปียังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยได้ต่อไป ราวกับไม่มีความสะทกสะท้านในข้อกฎหมาย แต่ขณะเดียวกันก็มีการยืนยันจากบุคลากรในมหาวิทยาลัยรามคำแหงว่า ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ มีนายกสภามหาวิทยาลัยที่เป็นประมุขสูงสุดของฝ่ายตุลาการเข้าไปนั่งกินตำแหน่งนี้อยู่ จึงทำให้เกิดคำถามจากคณาจารย์ที่มีอายุไม่เกิน 60 ปีว่า แล้วประมุขสูงสุดของฝ่ายตุลาการไม่เคยพิจารณาถึงประเด็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่มีอายุเกิน 60 ปีบ้างเลยหรืออย่างไร หรือประมุขสูงสุดของฝ่ายตุลาการจะยืนยันว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่อายุเกิน 60 ปี สามารถรับตำแหน่งผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
อันที่จริงยังมีเสียงเรียกร้องจากคณาจารย์ที่พยายามจะรักษาความถูกต้องของมหาวิทยาลัยหลายแห่งได้นำเรื่องไปร้องเรียนต่อหน่วยงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบในประเทศไทย อาทิ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งมีการยืนยันว่าได้ส่งเรื่องร้องเรียนไปแล้วมากกว่าสิบครั้ง แต่กลับปรากฏว่าเรื่องที่ส่งไปเพื่อร้องขอให้มีการตรวจสอบเหตุที่น่าจะไม่สุจริตทั้งหลายนั้นไม่เคยได้รับคำชี้แจงใดๆ กลับไปยังผู้ร้องเรียน จึงทำให้ผู้ร้องตั้งคำถามว่า ป.ป.ช. ทำหน้าที่โดยสุจริตใจหรือไม่และขณะเดียวกันก็ยังมีการตั้งคำถามจากผู้ร้องเรียนว่า สรุปว่า ป.ป.ช. มีปัญญาตรวจสอบเรื่องทุจริตที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ หาก ป.ป.ช. ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่สำคัญนี้ได้ ก็ควรจะลาออกไป หรือมิฉะนั้นก็ไม่สมควรจะมี ป.ป.ช. อีกต่อไป เพราะสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน
ย้อนกลับไปที่ประเด็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งเป็นผู้มีอายุเกิน 60 ปี เรื่องนี้เป็นสิ่งที่วิญญูชนในสังคมไทยตั้งคำถามกันตลอดเวลาว่า คนที่ได้ชื่อว่าเป็นครูบาอาจารย์ซึ่งสอนหนังสือในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐเคยสำเหนียกบ้างหรือไม่ว่า การมีพฤติกรรมเช่นนั้นเป็นเรื่องน่ารังเกียจ อันเข้าข่ายหวงก้าง
มีวิญญูชน และคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยมีความละอายพากันตั้งคำถามว่า ทำไมอาจารย์ที่อายุเกิน 60 ปี จึงยังทู่ซี้ตะบี้ตะบันตะเกียกตะกายอยู่บนเก้าอี้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่อไปเป็นเพราะว่าไม่อิ่ม และไม่พอในผลประโยชน์ที่ได้จากมหาวิทยาลัย ใช่หรือไม่ หรือว่าไม่สามารถลุกขึ้นจากเก้าอี้แห่งผลประโยชน์ได้ เนื่องจากเกรงว่าจะถูกเปิดโปงความฉ้อฉล ใช่หรือไม่
ในเมื่อผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ไม่มีความละอายต่อการกระทำผิด และไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายแล้ว จะมีประโยชน์อะไรกับการทำหน้าที่ครูบาอาจารย์ แล้วยังจะมีหน้าไปอบรมสั่งสอนให้ลูกศิษย์เป็นคนดีได้หรือ
มีคำกล่าวว่า สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐหลายแห่งในประเทศไทยไม่มีผลงานทางวิชาการเป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาคเอเชีย และระดับโลกเนื่องมาจากมหาวิทยาลัยของไทยคือสุสานของพวกผีตายซากที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด โดยเฉพาะพวกผีตายซากที่หวังจะดูดเลือดและสูบกินผลประโยชน์จากมหาวิทยาลัย
ขอให้สาธารณชนช่วยกันพิจารณาดูให้ถี่ถ้วนด้วยว่า มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งใดบ้างที่มีผีตายซากซ่องสุมอยู่เป็นจำนวนมาก แล้วโปรดพิจารณาด้วยว่ามหาวิทยาลัยแห่งนั้นมีคุณภาพทางวิชาการอยู่ในระดับใด แต่ที่มากกว่านั้นคือ ขอให้เข้าไปสืบค้นให้ละเอียดด้วยว่ามีการทุจริตฉ้อฉลหนักหนาสาหัสมากมายเพียงใดในมหาวิทยาลัยเหล่านั้น
มีตัวอย่างให้เห็นชัดๆ คือ มหาวิทยาลัยที่มีผีตายซากซ่องสุมกันเป็นจำนวนมากๆ นั้นจะมีเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นปรากฏให้เห็นมากมาย อาทิ การแย่งการเปิดหลักสูตรต่างๆ นานา แต่ล้วนเป็นหลักสูตรเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าผู้บริหารและลิ่วล้อมากกว่าเน้นการให้สติปัญญาและความรู้กับผู้เรียน และจะพบว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่นภายในมหาวิทยาลัยอย่างโจ่งแจ้ง แต่เรื่องทุจริตกลับไม่ถูกพูดถึงแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่มีหลักฐานชัดเจนตำตา ตัวอย่างเช่น การก่อสร้างอาคารด้วยงบประมาณหลายร้อยล้านบาท แต่สุดท้ายไม่สามารถเปิดใช้อาคารนั้นได้ เพราะก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย
มหาวิทยาลัยใดก็ตามที่มีผู้บริหารซึ่งประพฤติผิดกฎหมาย มหาวิทยาลัยนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือด้วยประการทั้งปวงไม่ว่าจะในด้านวิชาการ จริยธรรม ศีลธรรม และคุณธรรมเมื่อมีผู้บริหารมหาวิทยาลัยพรรค์อย่างนี้อยู่ต่อไป ก็เท่ากับเป็นแหล่งบ่มเพาะเชื้อความเลวและความชั่วให้กับสังคม ถึงเวลาแล้วหรือยังที่สาธารณชนต้องร่วมกันทำความสะอาดมหาวิทยาลัยไทย โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยผู้บริหารจำพวกผีตายซาก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี