กลายเป็นแรงกระเพื่อมระลอกใหญ่ ที่ดึงเอาผู้คนหลากฟากฝ่ายออกมาร่วมคิด ร่วมถกเถียง จนกลายเป็น “นิทรรศการความคิด”ที่เราเพียงแค่นั่งดู นั่งฟัง นั่งอ่าน ก็จะเกิดความงอกงามและ “รู้จักคน” ได้จาก “วิธีคิด” และการให้เหตุผลของพวกเขาได้อย่างง่ายๆ นั่นคือข้อเสนอของนายชวน หลีกภัย เรื่อง “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ที่ยกตัวอย่างตำแหน่ง ผบ.เหล่าทัพ และปลัดกระทรวงกลาโหม มาเป็น สว. โดยตำแหน่ง ว่าควรทำให้เป็น “ประชาธิปไตย” ให้มากขึ้น
โดย นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กล่าวถึงข้อเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ส่วนตัวเป็นคนหนึ่งที่ไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพราะมีความเป็นประชาธิปไตยน้อยกว่าในอดีต เมื่อครั้งมีการยกร่างรัฐธรรมนูญนั้นได้เคยพบกับรองประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและให้ข้อมูลว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ แต่มาจากตัวบุคคล จึงต้องแยกให้ออกจากกัน ผู้ร่างรัฐธรรมนูญต้องเข้าใจตรงนี้ด้วย ดังนั้น การเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงเสนอว่าควรรับฟังทุกฝ่ายรวมทั้งวุฒิสภา
“ถ้าเรามุ่งไปที่บทบาทวุฒิสภา แน่นอนว่าบางท่านคงไม่เห็นด้วยและมีการต่อต้าน แต่ถ้าเชิญมาคุยว่าเป้าหมายประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ นั้นหลักควรเป็นอย่างไร บทบาทแต่ละฝ่ายเป็นอย่างไร ต้องยอมรับว่าวุฒิสภาก็มีประโยชน์ บางบทบาทก็ทำได้ดีกว่าสส. เช่น การตรวจสอบคนเข้าสู่องค์กรต่างๆ เป็นต้น แต่บทบาทอื่นๆ สมควรจะมีแค่ไหนก็ต้องชวนมาคุย ผมคิดว่าถ้าคิดจะแก้จริงๆก็อย่าไปคิดล้มเลยครับ ถ้าอยากให้แก้ไขได้จริงๆ ก็ต้องให้ทุกฝ่ายเห็นด้วย และเอาเขามาคุยด้วยว่าจะปรับให้เป็นประชาธิปไตยจริงๆ หรือเอาบางส่วนออกไป เช่น การบรรจุให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพต้องเป็นสว. ผมคิดว่าโดยหลักไม่เคยมีการระบุสว.โดยตำแหน่งแบบนี้ เพราะถ้าจะเลือกคนเข้ามาก็ควรเป็นระบบอื่น ผมไม่ได้ว่าตำแหน่งของเขา แต่ในทางประชาธิปไตยไม่ควรไปกำหนดให้ทำอย่างนั้น” นายชวน กล่าว
นายชวน กล่าวว่า ทั้งหมดขึ้นอยู่กับคณะกรรมาธิการวิสามัญจะพิจารณา แต่อย่าไปคิดเรื่องล้ม โดยควรคิดว่ามาร่วมมือกันเพื่อให้รัฐธรรมนูญมีประสิทธิภาพและมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเมื่อคณะกรรมาธิการวิสามัญมาจากหลายฝ่าย ก็น่าจะได้คุยกันจริงในเรื่องนี้ โดยมีเป้าหมายว่าเราปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คุยให้เข้าใจกันและกำหนดไว้ในกฎหมายต่อไป
“พูดง่ายๆ คือ หลายกลุ่มอาจมีปัญหาที่กระทบเขา แต่เมื่อคุยกันและทำความเข้าใจกันได้ ความขัดแย้งนั้นอาจจะเบาลง จะไปหวังให้ทุกคนเห็นเหมือนกันหมดมันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าลดลงมาก็สามารถหาข้อยุติที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมได้ หากเราไม่ปรับเลยการแก้ไขจะทำไม่ได้เลย” นายชวน กล่าว
เมื่อถามว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ที่ในฐานะประธานรัฐสภาจะเป็นคนกลางประสานสส.และสว.ให้มาร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญนายชวน กล่าวว่า อยู่ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไม่ได้อยู่ที่ประธานรัฐสภา เพราะคณะกรรมาธิการวิสามัญอาจไปเชิญมารับฟังและให้ความเห็น
นายอุดม รัฐอมฤต กรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ฐานะอดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวต่อประเด็นข้อเสนอของนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยตัดส่วน ผบ.เหล่าทัพ เป็น สว. โดยตำแหน่งว่าจุดเริ่มของการกำหนดรายละเอียดดังกล่าวไว้ในรัฐธรรมนูญคือ เป็นข้อเสนอของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ที่ต้องการให้ ผบ.เหล่าทัพเข้ามาป้องกันความขัดแย้งระหว่างทหารและฝ่ายการเมือง ที่อาจเกิดขึ้นได้และต้องการให้ผบ.เหล่าทัพแสดงความเห็นรวมถึงชี้แจงรายละเอียดเชิงลึก เพื่อให้การเกิดรัฐประหารยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตนเห็นด้วยกับนายชวน ที่มองว่าบทบัญญัติดังกล่าวไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งในการแก้ไขประเด็นดังกล่าวตามที่มีผู้เสนอ เชื่อว่ากมธ.ฯ อาจพิจารณา ซึ่งตนฐานะผู้มีส่วนร่วมยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ต้องอธิบายที่มาและเหตุผลเพื่อให้กมธ.ฯ รับทราบ โดยเฉพาะ การกำหนดให้ผู้นำเหล่าทัพเป็นสว.โดยตำแหน่งนั้น เป็นบทที่กำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลและมีระยะเวลาบังคับใช้ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านจากการเมืองช่วงรัฐประหาร ไปสู่การเมืองจากการเลือกตั้ง ระยะ 5 ปี นับจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใช้บังคับเท่านั้น ส่วนสาระจะนำไปสู่การแก้ไขหรือไม่เป็นประเด็นที่กมธ.ฯต้องพิจารณาร่วมกัน
นายอุดมกล่าวด้วยว่า ส่วนข้อเสนออื่นๆ เช่น ต้องการแก้ไขระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ที่หลายฝ่ายมองว่าเกิดจากสมมุติฐานว่านักการเมืองโกงการเลือกตั้ง นั้น ตนมองว่าการเลือกตั้งด้วยบัตรใบเดียว หรือสองใบ ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกว่าการเมืองโกงหรือไม่ ซึ่งบุคคลที่ระบุถึงระบบเลือกตั้ง ที่รับฟังคือเพราะมีการเกิดขึ้นของพรรคเล็ก จำนวนมาก ซึ่งการเกิดขึ้นของพรรคเล็ก ส่วนหนึ่งคือ เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เลือกผู้แทนเพิ่มมากขึ้น ไม่ถูกจำกัดเฉพาะพรรคขนาดกลางหรือขนาดใหญ่เท่านั้น
“การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เชื่อว่าในกมธ.ฯ จะอภิปรายในหลากหลายประเด็น ซึ่งประธานกมธ.ฯ เคยระบุในการประชุมนัดแรก ว่า ต้องออกไปรับฟังเสียงประชาชน ผ่านการเปิดเวทีเพราะการพิจารณาแนวทางแก้ไขคงไม่ใช่การฟังเฉพาะกมธ.ฯ หรือฟังความเห็นในลักษณะความชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น ทั้งนี้ในการประชุมนัดแรก และครั้งถัดไปยังเป็นลักษณะของการสนทนาธรรม ยังไม่ลงรายละเอียด แต่ส่วนหนึ่งพอทราบว่ากมธ.ฯ แต่ละกลุ่มมีธงนำมาอย่างไร เช่น การแก้ไขทั้งฉบับ, แก้ไขบางมาตรา, การจัดเวทีรับฟังประชาชน ซึ่งทั้งหมดต้องใช้การพูดคุยในแนวทางที่เห็นร่วมกันอีก 2-3 ครั้งก่อนจะลงสู่เนื้อหา” นายอุดม กล่าว
นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา(สว.)เปิดเผยถึงกรณีที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรเสนอให้โละทิ้งสว.ที่มาจากผู้บัญชาการเหล่าทัพ 6 คน ว่า ข้อเสนอเหล่านี้ สามารถเสนอได้ แต่ต้องดูบริบทด้วยว่ารัฐธรรมนูญเดิมเขียนไว้แบบนี้เพราะต้องการให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพ 6 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ความมั่นคงเข้ามามีส่วนในการดูแลความเรียบร้อยของประเทศ
นายเสรีกล่าวต่อว่าข้อเสนอดังกล่าวต้องระวัง เนื่องจากหาก สว.ไปรับลูกหรือเห็นด้วยอาจจะลามไปถึงอำนาจหน้าที่อื่นของสว.ด้วย เพราะในการแก้ไขจะต้องมีการแปรญัตติ หากมีการสงวนความเห็นว่าไม่เอา 6 คนนี้ก็อาจจะเปลี่ยนไปทั้งหมดได้ สว.จึงต้องระวัง ทั้งนี้ การเสนอแบบนี้เป็นเพียงการเริ่มต้น เป็นก้าวแรก แต่จะมีหลักประกันอะไรว่าจะไม่ลามไปอำนาจหน้าที่ของสว.ในส่วนอื่น
“ยืนยันว่าไม่ใช่เป็นการหวงอำนาจ แต่เป็นเรื่องความรับผิดชอบที่เข้ามาทำหน้าตรงนี้แค่ 5 ปี ถ้าทำแบบนี้ถือเป็นการยึดอำนาจสว.หรือเปล่า เพราะอาจจะมีคนอื่นแปรญัตติอย่างอื่น ยึดอำนาจหน้าที่ของสว.ไปหมดเลย ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดในเวลา 5 ปีนั้น ถ้าจะแก้อะไร เสนอแก้อะไร อย่าแตะหมวด สว. ก็จะทำงานง่ายขึ้น เพราะทั้ง 6 คนอยู่แค่ 5 ปี ไม่ได้ยาวนานและผ่านมา 2 ปีแล้ว พอหมดตำแหน่งก็เปลี่ยนคนอื่นมา ควรเสนออะไรที่เป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาพรรคการเมืองจะดีกว่า”นายเสรี กล่าว
รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อาจารย์พิเศษประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ค เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง แสดงความเห็นต่อกรณีความเห็นของนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ต่อการควบตำแหน่ง สว.กับ ผบ.เหล่าทัพ ความว่า
“ความเห็นของประธานรัฐสภา ชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ๒ สมัย ที่ได้มีข้อเสนอแนะว่า ควรแก้รัฐธรรมนูญโดยตัดสมาชิกวุฒิสภา ๖ ตำแหน่งที่มาจากข้าราชการประจำออกไปจากสมาชิกวุฒิสภา จึงเป็นความเห็นที่น่าสนับสนุนอย่างยิ่งหากจะมีการแก้รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ทั้งนี้เพราะ
๑) ตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ต่างเป็นข้าราชการประจำ เฉกเช่นเดียวกับปลัดกระทรวงและอธิบดีอื่นๆ ข้าราชการประจำ ๖ ตำแหน่งนี้ ไม่ควรทำหน้าที่เลือกนายกรัฐมนตรีตรวจสอบฝ่ายบริหาร และมีหน้าที่ให้ความเห็นชอบกรรมการในองค์กรอิสระ ทั้งนี้ เพราะเป็นข้าราชการประจำต้องทำตามนโยบายของฝ่ายการเมือง และต้องถูกตรวจสอบโดยองค์กรอิสระ การที่รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ กำหนดให้ข้าราชการประจำเฉพาะ ๖ ตำแหน่งนี้เป็นสมาชิกวุฒิสภา จึงเป็นผลประโยชน์ขัดกันระหว่างตำแหน่งและหน้าที่
๒) การให้ความสำคัญกับ ๖ ตำแหน่งเป็นพิเศษ ย่อมก่อให้เกิดความแตกต่างและแปลกแยกกับข้าราชการในระดับเดียวกันของกระทรวง ทบวง กรมอื่น ที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่ากัน และเป็นการเลือกปฏิบัติหลายมาตรฐาน
๓) การอ้างว่า บุคคลใน ๖ ตำแหน่ง มาอยู่ในวุฒิสภาจะเป็นการป้องกันการทำรัฐประหารก็ฟังไม่ขึ้น เพราะหาก ผบ.เหล่าทัพเหล่านี้จะยึดอำนาจก็สามารถทำได้ ข้ออ้างที่ว่า มาทำหน้าที่ในวุฒิสภาจะได้ชี้แจงกำลังพลให้เข้าใจถูกต้อง ก็ยิ่งฟังไม่ขึ้นเพราะการไม่ได้สวมหมวก ๒ ตำแหน่ง ก็สามารถชี้แจงกำลังพลให้เข้าใจได้อยู่แล้ว กำลังพลมีสติปัญญาสามารถขวนขวายหาข้อมูลด้วยความรักชาติ รักแผ่นดิน โดยไม่ต้องรอจากคน ๖ ตำแหน่งนี้ก็ได้
๔) การให้ข้าราชการ ๖ ตำแหน่ง ดังกล่าวรับเงินเดือน ๒ ทาง ทั้งเงินเดือนของข้าราชการประจำ และเงินเดือนค่าตอบแทนของสมาชิกวุฒิสภาเป็นการไม่เหมาะสม แล้วยังมีค่าตอบแทนผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ และผู้ช่วย สว. รวมกัน ๘ คน ต่อ สว.หนึ่งคนอีกด้วย
๕) ประชาชนจะขาดความเลื่อมใสศรัทธาที่ คสช.อันประกอบไปด้วย บุคคลทั้ง ๖ ตำแหน่งสืบอำนาจไปอยู่ในตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา กลับมามีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี และให้ความเห็นชอบในองค์กรอิสระ จะถูกกล่าวหาได้ว่าเป็นรัฐซ้อนรัฐ โดยรัฐทหาร
๖) รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ และ รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ได้ยึดหลักสำคัญว่าข้าราชการประจำที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของฝ่ายบริหาร ไม่สมควรไปเป็นสมาชิกวุฒิสภาเพื่อตรวจสอบฝ่ายบริหาร จึงได้กำหนดให้ข้าราชการที่ปรารถนาจะลงสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องลาออกจากราชการเสียก่อน โดยไม่มีข้อยกเว้น ผมเองในฐานะข้าราชการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ ยังต้องลาออกก่อนเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา เมื่อปี ๒๕๔๓
๗) สมาชิกวุฒิสภาในชุดปัจจุบันบางคนที่ออกมาโต้แย้งความเห็นของประธานรัฐสภา ชวน หลีกภัย เพราะเกรงว่าหากแก้ไขประเด็น ๖ ตำแหน่งได้ ก็อาจจะแก้ไขอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาในส่วนอื่นได้ เป็นการคิดแต่ประโยชน์ของตนและพวกพ้องเป็นที่ตั้ง โดยมิได้คำนึงถึงหลักการในการบริหารประเทศและผลประโยชน์ของส่วนรวม.
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค แสดงความคิดเห็นในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ให้ผู้นำเหล่าทัพเป็นสว.ว่า การออกแบบ สว. ที่ให้มีข้าราชการประจำ 6 คนมาเป็น สว.โดยตำแหน่งนั้นมีประเด็นที่น่าพิจารณาหลายประการ โดยเนื้อหาระบุว่า...
“การออกแบบ สว. ที่ให้มีข้าราชการประจำ 6 คนมาเป็น สว.โดยตำแหน่งนั้นมีประเด็นที่น่าพิจารณาหลายประการ
1) 6 สว. ที่มาโดยตำแหน่งการเป็น ผบ.ของหน่วยคุมกำลังต่างๆ เช่น ทบ. ทร. ทอ. สส. ตร. และ ปลัดกลาโหม ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้เป็นข้าราชการประจำ และศักดิ์ศรีมิได้แตกต่าง กับ ปลัดกระทรวงอื่น หรือ ตำแหน่งเทียบเท่าปลัดกระทรวงอีกมากมายที่ล้วนแล้วแต่สำคัญไม่น้อยเช่นกัน
2) 6 สว. ดังกล่าว จึงเป็นเหมือนอภิสิทธิ์ชน ที่นั่งสองเก้าอี้รับเงินเดือนสองทาง ข้ามเส้นแบ่งไปมาระหว่างข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำ และ ด้วยความสำคัญของงานประจำ จึงเชื่อว่าจะไม่สามารถทำงานในหน้าที่ สว.ได้อย่างเต็มที่และเต็มเวลา
3) การอ้างเหตุการดำรงตำแหน่งของ 6 สว. ว่าเป็นการออกแบบมาเพื่อป้องกันการรัฐประหาร จึงไร้เดียงสายิ่ง เพราะจะอยู่นอกหรือในสภา หากคุมกำลังก็สามารถทำการรัฐประหารได้ในอดีต ขนาดนายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มยังรัฐประหารตัวเองเพราะเบื่อสภาได้
4) ข้อเสนอของ ประธานสภา ชวน หลีกภัย ที่ให้ทบทวน 6 สว. ที่มาจากข้าราชการประจำ จึงเป็นข้อเสนอบนการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เป็นสากล ที่มุ่งให้มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างข้าราชการประจำและฝ่ายการเมืองที่สมควรนำมาพิจารณายิ่ง
การทบทวนควรตั้งอยู่บนหลักเหตุและผล อย่าหลับหูหลับตาเชียร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จนลืมสิ่งที่เป็นหลักการ หรือมาบอกให้ทนๆ แค่ 5 ปี
แต่ละวัน แต่ละเดือนที่ผ่าน ประเทศล้วนมีต้นทุนที่ต้องจ่ายครับ”
นี่คือประโยชน์ของการร่วมกันแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ เราใช้ประโยชน์จากการชม “นิทรรศการความคิด-ความเห็น” ครั้งนี้ให้มีคุณค่าได้ ด้วยการทำใจว่างๆ ไม่มีธงอยู่ก่อนว่าถือหางข้างไหน ลบชื่อคนออกไป แล้วเรียนรู้จากระบบหลักการ-เหตุผลของเขา จะทำให้เรามองเห็นอะไรๆ ได้ดียิ่งขึ้น และเป็นประโยชน์สูงสุดของเรื่องนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี