ระเบิดเวลาลูกหนึ่งของสังคมไทยก็คือ “ความเกลียดชัง” ที่ถูกบ่มเพาะจากสถานการณ์ต่างๆ และจากฟากฝ่ายต่างๆ ที่จำต้องหา “แนวร่วม” เข้าข้างพวกตน โดยที่วิธีหาแนวร่วมนั้น วิธีหนึ่งที่ใช้กันคือ “ทำให้เกลียด” กับ “ทำให้น่าเกลียด”
7 มกราคม 2563 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.)โพสต์เฟคบุ๊ค ระบุข้อความดังนี้
เปิดโปงแผนร้าย 5 ขั้นของลัทธิชังชาติ
1. สร้างชุดข้อมูลให้หลงเชื่อ สร้างความแตกแยกและความเกลียดชังในสังคม สร้างกิจกรรมในรูปแบบต่างๆพุ่งเป้าไปที่เด็ก เยาวชนตามสถานศึกษา ประชาชนกลุ่มเฉพาะ เพราะง่ายแก่การยุแหย่ (กำลังทำอยู่)
2.เมื่อถึงวันตัดสินคดีความยุบพรรค จะประกาศไม่รับคำพิพากษาของศาล และอ้างว่าถูกกลั่นแกล้ง ศาลมีธง ศาลถูกชี้นำ
3.อ้างความจำเป็นต้องนำม็อบลงถนน ว่าจะใช้วิธีแบบอหิงสา เพื่อมาต่อสู้กับความอยุติธรรม การถูกรังแก โดยพุ่งเป้าไปที่เด็ก เยาวชน
4.หลังจากนั้นม็อบจะสร้างความรุนแรง ทำลายร้านค้า ให้คนหากินไม่ได้ ทำลายเศรษฐกิจ (ฮ่องกงโมเดล)หรือมีการจัดตั้งให้เกิดการทำร้ายกันเอง โดยอ้างว่าถูกใช้ความรุนแรงโดยรัฐและในที่สุด พาลูกหลานเราไปบาดเจ็บล้มตาย
5.จะมีการเรียกร้องให้ต่างชาติมาแทรกแซง โดยอ้างเรื่องประชาธิปไตย และนำไปสู่การล้มล้างสถาบัน เปลี่ยนแปลงประเทศตามที่ลัทธิชังชาติต้องการ
เราคนไทยต้องรู้เท่าทันลัทธิชังชาติ
#ปราบลัทธิชังชาติด้วยความจริง
“ตีความ” จากข้อเขียนของหมอวรงค์ คิดเป็นอื่นไม่ได้ว่าพวก “ลัทธิชังชาติ” ที่ว่า คือพรรคอนาคตใหม่ เพราะเป็นพรรคการเมืองเดียวที่มีคดีความที่โทษอาจถึงขั้น “ยุบพรรค” อยู่ในเวลานี้ แม้หมอวรงค์จะไม่ได้เอ่ยชื่อออกมา
อันที่จริง ท่าทีแบบนี้ของหมอวรงค์ ถูกตั้งคำถาม ถึงขั้นถูกด่าทอมาพักใหญ่ๆ แล้วว่า ทำไปเพื่ออะไร หรือทำไมไม่เปิดหน้าชกกันตรงๆ กับพรรคอนาคตใหม่เสียเลย ทำไมต้องอ้อมไปใช้คำว่า “ลัทธิชังชาติ” ซึ่งเป็น “คำพูดสร้างความเกลียดชัง” หรือ Hate Speech ชนิดหนึ่ง แถมหนักกว่าด้วยตรงที่เป็นการ “ตีตรา” (Label)
แน่นอน พฤติกรรมของคนในพรรคอนาคตใหม่ หรือผู้สนับสนุนก็ดี แนวร่วมก็ดี อาจมีพฤติกรรมที่สังคม“ไม่ยอมรับ” หรือเห็นเป็นแนว “ต่อต้านสังคม” แต่จะถึงกับบอกว่า คนพวกนี้ “ชังชาติ” เสียทีเดียวก็อาจจะ “หนักไป” แบบ “เหมารวม” ให้ดีกว่านี้ ควรชี้เป็นคนๆ
เช่น ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่อาจเคยพูดในทำนองว่า มีลูกก็ไม่อยากให้เรียนในประเทศนี้ อะไรทำนองนั้น ซึ่งจะเข้าข่าย “ชังชาติ” หรือแค่ “ไม่เชื่อมั่นระบบการศึกษาและค่านิยมในชาติ” ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งเดียวกันในสายตาของบางคน บางกลุ่ม ก็อยู่ที่มุมมองและการให้น้ำหนักของแต่ละคน
กระนั้นก็ตาม ความชิงชังที่สร้างขึ้นมาตอบโต้“พวกชังชาติ” มันก็คือการสร้างความรู้สึก “ชังเพื่อนร่วมชาติ” มากกว่าหันหน้าเข้าหากัน หักล้าง โต้แย้งกันด้วยเหตุและผล เปิดโอกาสให้มีการชี้แจง บนมิติของ “หลักการประชาธิปไตยและเหตุผล” ไม่ใช่บน “กระแสความรู้สึก”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้พยายาม “ปราม” คนที่ด่าทอท่าน ทำลายความน่าเชื่อถือท่านมาโดยตลอด โดยไม่เคย “ล้ำเส้น” ไปถึงขั้น “ตีตรา” ฝ่ายตรงข้าม ซ้ำใช้ “น้ำอดน้ำทน” เข้าสู้ วันไหนตบะแตกก็หน้างอหน้าง้ำ พูดเสียงดัง ระบายอารมณ์ออกมาบ้าง แต่ไม่เคยใช้วิธี “ทำลายคู่ต่อสู้” แบบนี้
อย่างล่าสุด วันที่ 6 มกราคม 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล ท่านก็ได้กล่าวว่า วันที่สิ่งที่ดีกำลังดีๆ ก็อยากให้เดินหน้าไป อย่าดึงให้ถอยหลัง ย้อนไปย้อนมา ตนคิดว่าได้ตั้งใจมั่นทำงานมา 5 ปี ปีที่ 6 นี้ ยังยืนยันมีแรงศรัทธาตลอดมา ไม่ใช่ต้องการอำนาจ ใครบอกว่าการเมืองคืออำนาจผลประโยชน์ ในเมื่อตนไม่ต้องการอำนาจและผลประโยชน์ แล้วทำไมไม่ไว้ใจตน เมื่อไว้ใจตนก็ต้องไว้ใจในการบริหารของตน ตนจะต้องควบคุมเรื่องเหล่านี้ให้มากที่สุดไม่ให้กลับไปที่เดิม นั่นคือสิ่งที่อยากจะพูดกับพวกเราทุกคน วันนี้ที่พูดเยอะเพราะแบบนี้
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้นายกฯ กำลังคิดแก้ไขปัญหาหลายเรื่อง นายกฯไม่เคยหยุดคิด ใครจะตำหนิต่อว่าอะไรก็ตาม ก็เอาเถอะ เรื่องไหนที่ทุจริตผิดกฎหมายก็ว่ามา ชี้แจงได้ก็จบถ้าชี้แจงไม่ได้ก็ไปขึ้นกระบวนการศาล การพูดกันไปมาบางทีไม่ใช่เรื่อง มันไม่มีอะไรที่ชัดเจน พูดกันไป บอกกันมา จนเกลียดชังหมด ตนถามว่าเวลานี้เราควรจะสร้างให้เกิดความเกลียดชังกันเองในชาติหรือไม่ มันใช่เวลาหรือไม่ทำไมไม่เอาเวลามารวมพลังเพื่อต่อสู้กับปัญหาภายนอก แล้วปัญหาภายในก็แก้กันในเชิงระบบกลไก ถ้ามัวโทษกันไปกันมา มันแก้อะไรไม่ได้สักอย่าง แก้โน้นกระทบนี้ พันกันไปหมด รัฐบาลนี้เข้ามาแก้ปัญหาที่ซ้ำซ้อน ไม่ใช่แก้ปัญหาเชิงเดี่ยวในลักษณะเปิดแล้วปิดงานปรบมือกัน ตนไม่ชอบแบบนั้น ตนชอบแก้ปัญหาทั้งระบบ บางอย่างได้ผล บางอย่างไม่ได้ผล เพราะทั้งหมดเราบังคับไม่ได้ มันเป็นเรื่องของประชาชน วันนี้ตนพยายามทำดีที่สุด รับทุกปัญหาของประชาชนมาคิด กลับบ้านก็คิด เสาร์-อาทิตย์ก็คิด เย็นกลับไปก็คิด ตนไม่เคยนิ่งนอนใจกับปัญหา แต่ตนก็ต้องใช้กลไก ครม.ขับเคลื่อนและติดตามผลการปฏิบัติจากการรายงาน ตนไม่ได้ฟังรายงานจากข้าราชการอย่างเดียว แต่ฟังจากประชาชนที่เป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ ตนเอาทั้งสองอย่างมาผสมกัน คือเชิงหลักการและเชิงประจักษ์ นั่นคือสิ่งที่ตนทำงาน
“ผมอยากให้ทุกคนใช้กลไกประชาธิปไตยของวันนี้สร้างประเทศกันก่อนได้หรือไม่ ดีกว่าที่จะทำลายซึ่งกันและกัน ถ้าผิดถูกตรงไหนก็ไปเข้ากระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าพูดกันไล่กันไปกันมาแบบนี้ ผมไม่เห็นประโยชน์จะเกิดขึ้น ไม่ว่าสนับสนุนผมหรือสนับสนุนใครก็ตามหรือต่อต้านผม มันเกิดประโยชน์กับใครบ้าง มันก็มีคนจำนวนหนึ่งที่ออกมาทำเรื่องแบบนี้ พัน สองพัน หมื่นนึง แต่คนที่เสียประโยชน์คือคน 60 ล้าน ผมอยากจะบอกว่าพอเถอะ มาช่วยกันทำประเทศดีกว่า ช่วยกันฟังว่ารัฐบาลจะทำอะไร จะได้ประโยชน์อะไร ถ้าไม่พอใจอะไรก็บอกมา รัฐบาลก็แก้ไข แก้ปัญหาต้องแบบนี้ อย่าใช้ทุกเวทีดิสเครดิตกันไปมา ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะยังไม่ได้อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ใครผิดถูกอย่างไรให้มาแจ้ง เอาหลักฐานมาผมจะนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เมื่อตัดสินอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น ตอนนี้มีองค์กรอิสระตรวจสอบเยอะแยะไปหมด แล้วเขาจะกล้ามาเข้าข้างผมหรือ ถ้าเขากล้าช่วยผมหรือใครก็ตามแล้วเขามีความผิด เป็นท่านท่านจะกล้าหรือไม่ที่จะช่วยคนผิด ผมว่าทุกคนกลัวความผิด ฉะนั้น ผมก็ใช้กลไก เจตนาของผมในการแสดงออก” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า หลายอย่างคิดออกมาทำไม่ได้ผล ตนก็ยอมรับ ทุกอย่างอาจจะต้องลองผิดลองถูก ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญตนก็ไม่รู้จะทะเลาะกันทำไม ในเมื่อตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษาแก้ไขก็ไปคุยกัน จะมาคุยกันทางสื่อทำไมกันทุกวัน เปิดประเด็นกันอีกทำไม ในเมื่อตนก็ไม่ได้ขัดข้องอยู่แล้วก็ไปคุยกันในกรรมาธิการ วันนี้ทุกอย่างออกสื่อกันหมด แล้วก็ตีกันยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง อยากถามว่ามันสำเร็จอะไรสักอย่างหรือไม่ ความร่วมมือจะเกิดหรือไม่ แล้วมาบอกว่าห่วงเรื่องโน้น มีสู้รบสงคราม แต่ในประเทศก็ตีกัน แล้วไปห่วงทางโน้น ตนจะไปทำอะไรได้ ทำสองทางช่วยตนบ้าง
“ผมฝากคน 60 กว่าล้าน ที่เขาเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาล โดยที่ท่านไม่ต้องไปสนใจเรื่องอะไรดีจะใช้คำพูดอะไรดี เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง บางทีมันไม่ได้สาระอะไรทั้งสิ้น พูดกันได้ทุกวัน เรื่องที่ยังไม่เกิดก็พูดทำให้สังคมระอุทุกวัน ทำเพื่ออะไร ผมอยากถามกับการที่ผมทำเพื่อประเทศของผม เพื่อพวกเราทุกคนร่วมกับพวกเรา แต่อีกพวกจ้องจะทำลายทุกวัน ทำอะไรก็ผิดหมด ไม่มีใครทำถูกทั้งหมดหรือผิดทั้งหมดหรอก คำว่าผิด กระบวนการยุติธรรมต้องตัดสิน และต้องเชื่อไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่เช่นนั้นประเทศอยู่ไม่ได้แน่นอน ทุกประเทศอยู่ด้วยกระบวนการยุติธรรม จะต้องมีการพิสูจน์สิทธิ์ ข้อเท็จจริงตามกระบวนการ 3 ศาล เข้าใจกันหรือไม่ ไปว่ากันมาเมื่อตัดสินแล้วก็จบไม่ใช่ไปด้อยค่าศาลอีก ทุกอย่างมันรวนเรไปหมดแล้วจะอยู่กันด้วยอะไร
ผมถามหน่อย รัฐธรรมนูญเขียนยังไงก็ไม่มีใครพอใจทั้งหมด ฉะนั้น อย่าเอาเรื่องเดิมๆ มาทะเลาะกันอีกเลยผมขอร้องแค่นี้ ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับใครทั้งสิ้น ใครจะด่าจะว่า ในสื่อด่าผมทุกวัน การ์ตูนเขียนด่ามา 5 ปีเต็ม ผมไม่เคยไปแตะต้องเลย รู้อยู่หนังสือพิมพ์ไหน หน้าไหน ผมไม่เคยแตะต้องรังแกสื่อไหน เขาทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกกระบวนการตามกฎหมายที่เขียนไว้อยู่แล้ว ผมไม่จำเป็นต้องไปสั่ง ถ้าเราไม่เอากฎหมายที่เป็นตัวพื้นฐานของประเทศ ประเทศนี้ก็ไม่ใช่ประเทศ อาจจะเรียกว่าอะไรสักอย่างที่หลายคนหลายกลุ่มอยู่กันไปตีกันไป นั่นมันโบราณกาลร้อยกว่าปีมาแล้ว วันนี้เป็นประเทศมาสองร้อยกว่าปีแล้วกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งสองร้อยกว่าปีแล้ว
ทำไมจะย้อนกลับไปสู่ยุคอดีตอีกที่ทุกคนแยกกันอยู่ แยกฝ่ายแล้วทุกคนก็ตีกัน รบกัน แล้วประเทศชาติ ประชาชนจะอยู่ตรงไหน ที่บอกรักชาติรักประชาชน รักจริงหรือเปล่า รักแบบไหน รักถูกวิธีหรือเปล่า รักลูกถูกวิธีหรือเปล่า รักคนไทยถูกวิธีหรือเปล่า ถ้ารักมันต้องหาวิธีการที่เหมาะสมดีบ้าง ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง แต่คนได้ประโยชน์ต้องมากคนที่ไม่ได้ประโยชน์ มันต้องมีคนเสียประโยชน์ นั่นคือสิ่งที่ยากง่ายของการทำงาน ไม่ใช่ทำงานสั่งเหมือนสั่งขี้มูก เช้านี้สั่งปื๊ดไปแล้วก็โล่ง มันไม่ใช่ ไม่เช่นนั้นผมจะนั่งเป็นบ้าเป็นบอเขียนหนังสือ นั่งคิดทั้งวันเหลือเวลานอนที่ไม่ได้คิด แล้วจะต้องมาเสียเวลาพูดกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่อง สมองผมหายไปเยอะ หายไปครึ่งนึง ทำไมไม่ช่วยผมบ้าง ผมเคารพทุกท่านเพราะเข้ามาในกระบวนการประชาธิปไตย แต่ผมถามว่า ประชาธิปไตยวันโน้นกับประชาธิปไตยวันนี้ต่างกันอย่างไร หาให้เจอผมขี้เกียจพูดย้อนไปย้อนมา ทุกคนทราบดี แต่ลืมไปหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย วันนี้สิ่งที่ดีเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ไม่ดียังมีค้างอยู่ นั่นคือสิ่งที่ผมอยากให้ประชาชนตัดสินใจว่าเราจะเดินไปข้างหน้า หรืออยู่กับที่ หรือจะก้าวถอยหลัง หรือจะรื้อทั้งหมดกลับไปสู่อดีต เชิญท่านเถอะ ผมทำของผมเต็มที่เท่านี้” นายกฯ กล่าว
ด้วยหลักคิดดังกล่าว และด้วยสายสัมพันธ์ที่มีกับสุเทพ เทือกสุบรรณ นายกฯ ควรบอกหลักการ “ถามว่าเวลานี้เราควรจะสร้างให้เกิดความเกลียดชังกันเองในชาติหรือไม่ มันใช่เวลาหรือไม่” ไปสู่สุเทพ และหมอวรงค์ด้วย ก็น่าจะดี!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี