ถ้ายังพอจำกันได้ เมื่อเกือบ 8 ปีที่แล้ว ในวันวาเลนไทน์ ปี 2555 ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นใจกลางกรุงเทพมหานคร บริเวณถนนสุขุมวิท 71 เหตุการณ์ในวันนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อตำรวจ สน.คลองตัน ได้รับแจ้งเหตุระเบิดหลายครั้งในซอยสุขุมวิท 71 จึงได้เร่งเดินทางไปตรวจสอบ แต่ระหว่างทางก่อนถึงจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบชายชาวตะวันออกกลาง ท่าทางมีพิรุธคนหนึ่งเดินสะพายเป้และกล้องวีดีโออยู่บนถนนสุขุมวิท 71 ระหว่างซอยปรีดี พนมยงค์ 31 กับ 33 โดยตามเสื้อผ้าและเนื้อตัวนั้นเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยเลือด
พลันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังจะแสดงตัวเข้าไปตรวจสอบ ชายคนดังกล่าวก็ใช้มือล้วงเข้าไปหยิบระเบิดในเป้เพื่อเตรียมขว้างใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ลูกระเบิดกลับลื่นหลุดจากมือและระเบิดลงใกล้ตัวทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บขาขาดทั้งสองข้าง
ภายหลังเหตุการณ์ ได้มีการตรวจสอบพบว่า ก่อนหน้านั้นระเบิดที่ถูกซุกซ่อนอยู่ภายในบ้านที่คนร้ายเช่าในซอยปรีดี พนมยงค์ 31 ได้เกิดระเบิดขึ้น บ้านหลังนี้ถูกเช่าอาศัยโดยชายชาวอิหร่าน 3 คน เพื่อเป็นแหล่งกบดานเตรียมก่อการร้ายบางอย่าง และพลันที่เกิดอุบัติเหตุระเบิดขึ้นภายในบ้านคนร้ายทั้งสามจึงได้พากันแยกย้ายหลบหนีออกมาจากบ้านดังกล่าว โดยหนึ่งในสามนั้นได้พยายามเรียกรถแท็กซี่ไปสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อหลบหนีออกนอกประเทศต่อไป แต่เมื่อแท็กซี่ไม่จอด ด้วยความโกรธคนร้ายจึงได้เอาระเบิดโยนใส่ทำให้รถพังได้รับความเสียหายและคนขับบาดเจ็บ และในเวลาไล่เลี่ยกันก็พยายามจะโยนระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจอีก แต่กลับพลาดตกลงมาโดนตัวเองดังที่กล่าวมา
ส่วนคนร้ายอีกสองคนถูกจับกุมได้ในเวลาต่อมา โดยคนหนึ่งถูกจับได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิขณะที่เตรียมจะขึ้นเครื่องบินหนีไปมาเลเซีย ส่วนอีกคนหนีรอดไปที่มาเลเซียได้ แต่ก็ถูกจับตัวได้โดยรัฐบาลมาเลเซียที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ ขณะกำลังจะขึ้นเครื่องบินหนีต่อไปลงที่กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน
จากการขยายผลการสืบสวนของตำรวจ วัตถุระเบิดที่พบในบ้านหลังนั้นเป็นระเบิดซีโฟร์ที่มีการติดแม่เหล็กเอาไว้เพื่อนำไปติดกับยานพาหนะเป้าหมายสังหาร อันเป็นวิธีการเดียวกันที่เพิ่งถูกใช้ในการโจมตีรถยนต์ของคณะทูตอิสราเอล ในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย และเจ้าหน้าที่สถานทูตอิสราเอล ในกรุงทบิลิซี (Tbilisi) ประเทศจอร์เจีย ที่เกิดขึ้นหนึ่งวันก่อนเหตุระเบิดในประเทศไทย
หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้หลายๆ ประเทศโดยเฉพาะสหรัฐฯ และอิสราเอล ได้ออกมาเตือนประชาชนของตนเองในประเทศไทยให้ระวังตัวไว้ เพราะว่าคนร้ายมีแผนการที่จะลอบสังหารนักการทูตอิสราเอลในไทย ด้วยวิธีวางระเบิดรถเช่นเดียวกับที่กรุงนิวเดลี และกรุงทบิลิซี รวมถึงแผนการระเบิดสถานทูต และลอบสังหารรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลที่กำลังจะเดินทางมาเยือนประเทศไทยอีกด้วย
เหตุการณ์ระเบิดช่วงวันวาเลนไทน์ ปี 2555 ใน 3 มหานครเมืองหลวงของอินเดีย จอร์เจีย และไทยนั้นเป็นหนึ่งในหลายๆ แผนก่อการร้ายที่กองกำลังคุดส์ (Quds ซึ่งหมายถึงกรุงเยรูซาเลม ในภาษาเปอร์เซีย) ภายใต้การนำของนายพลกาเซ็ม โซไลมานี (Qassem Suleimani) ใช้เป็นมาตรการตอบโต้สหรัฐอเมริกา และอิสราเอลที่ก่อนหน้านั้นได้พยายามทุกวิถีทาง โดยเฉพาะด้วยวิธีปฏิบัติการลับเพื่อขัดขวางโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน ไม่ว่าจะเป็นการจู่โจมทางไซเบอร์ (cyber-attacks) ไปจนถึงการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ของอิหร่าน 4 คน ซึ่งทางอิหร่านเชื่อว่าอิสราเอลอยู่เบื้องหลัง
โซไลมานี ได้เริ่มเตรียมแผนก่อการร้ายในประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพื่อตอบโต้สหรัฐฯ และอิสราเอล ตั้งแต่ปี 2553 โดยในช่วงปี 2554-2555 มีความพยายามก่อการร้ายเกิดขึ้นมากกว่า 30 ครั้ง รวมทั้งที่ประเทศไทยด้วยดังที่เล่ามาข้างต้นและปฏิบัติการครั้งที่เหยียบจมูกสหรัฐฯ มากที่สุดก็คือ แผนการวางระเบิดสถานทูตซาอุดีอาระเบีย ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.เมืองหลวงของสหรัฐฯ ในปี 2554 ด้วยการใช้กลุ่มแก๊งค้ายาเสพติดในเม็กซิโกเป็นผู้ลงมือ โดยในแผนการนี้ตัวโซไลมานีเองจะเข้าไปนั่งกินอาหารมื้ออร่อยๆ อยู่ในภัตตาคารแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กับทำเนียบขาว ขณะที่แก๊งค้ายากำลังลงมือปฏิบัติการ แต่แผนก่อการร้ายครั้งนี้ได้เกิดล้มเหลวขึ้นเมื่อหนึ่งในสมาชิกแก๊งค้ายาที่โซไลมานีจ้างมากลับกลายเป็นสายข่าวของหน่วยงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าแผนการถล่มสถานทูตซาอุฯในสหรัฐฯ จะล้มเหลว แต่เหตุการณ์นั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นในการพูดคุยกันถึงเรื่องการสั่งเก็บโซไลมานีจากบุคคลในรัฐบาลสหรัฐฯ
ย้อนหลังไป 41 ปีที่แล้ว ภายหลังการปฏิวัติอิหร่านหรือที่ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า การปฏิวัติอิสลาม ในปี 2522เมื่อราชวงศ์ปาห์ลาวีภายใต้การปกครองแบบกษัตริย์ของพระเจ้าชาห์ โมฮัมเหม็ด เรซา ปาห์ลาวี ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาถูกโค่นล้มลงและถูกแทนที่ด้วยการปกครองแบบสาธารณรัฐอิสลาม มีการใช้รัฐธรรมนูญแบบ เทวาธิปไตย-สาธารณรัฐ (Theocratic-
Republican Constitution) โดยมีผู้นำทางศาสนาอายะตุลลอฮ์ รูฮุลลอฮ์ โคไมนี เป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ
ปีเดียวกันนั้น กาเซ็ม โซไลมานี หนุ่มวัย 22 จากหมู่บ้านยากจนบนเขาใน Rabor เมืองที่อยู่ทางด้านตะวันออกของอิหร่าน ก็ได้สมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกหน่วยพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม หรือ IRGC (theIslamic RevolutionGuard Corps) หน่วยกำลังรบใหม่ของกองทัพอิหร่านที่ถูกตั้งขึ้นมาโดย อายะตุลลอฮ์ โคไมนี เพื่อทำหน้าที่ป้องกันในการป้องกันอิหร่านด้วยวิธีการล้มล้างศัตรูของรัฐอิสลาม รวมไปถึงภารกิจการขยายอิทธิพลของประเทศไปในภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งหมด
ภายหลังจากการถูกฝึกเพียงแค่ 45 วัน โซไลมานีก็ถูกบรรจุเข้าสังกัดในกองกำลังคุดส์ (Quds Force) อันเป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษในต่างแดนของ IRGC(ยังมีต่อ)
ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี