10 มกราคม 2563 นายเกียรติ สิทธีอมร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์แสดงความเห็นต่อการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 พร้อมสรุปข้อกังวล 5 ข้อ ว่ารายได้จากการเก็บภาษีอาจจะไม่เข้าเป้า ปัญหาสงครามการค้าความไม่สงบในตะวันออกกลางจะส่งผลกระทบทุกประเทศทั่วโลกปัญหาเร่งด่วนของประชาชนยังไม่สามารถแก้ไขได้เป็นระบบต้องเร่งเปิดตลาดส่งออกใหม่ๆ และเร่งเจรจาความตกลงทางการค้าเพิ่ม และหากต้องการสร้างความเก่งก็ต้องเร่งงานวิจัย โดยเนื้อความทั้งหมดนั้น นายเกียรติระบุว่า
คนไทยไม่น้อยกำลังติดตามการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 โดยสภาผู้แทนราษฎร ในวาระ 2 และ 3หรือพิจารณารายมาตรา ก่อนส่งต่อให้วุฒิสภาพิจารณาและออกเป็นกฎหมายต่อไป ซึ่งน่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนนี้
ในวันที่ 17 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่ร่าง พ.ร.บ งบประมาณเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ในวาระแรก ผมได้อภิปรายให้ข้อมูลและตั้งข้อสังเกตในหลายประเด็น และขอให้มีการปรับปรุงงบประมาณในชั้นกรรมาธิการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เพื่อให้นโยบายและการจัดสรรงบประมาณนั้นตอบโจทย์ปัญหาของประเทศและประชาชนอย่างแท้จริง
วันนี้เมื่อผมได้ดูร่าง พ.ร.บ.งบประมาณที่ปรับปรุงโดยกรรมาธิการแล้ว ก็ต้องบอกว่า ยังไม่คลายความกังวลแม้แต่น้อย บางเรื่องปัญหาหนักกว่าเดิมแต่งบประมาณเท่าเดิมหรือน้อยลง บางเรื่องที่เป็นการสร้างความเก่งของเอกชนรายเล็กรายน้อยให้แข่งขันได้ ซึ่งผมเสนอให้เพิ่มงบประมาณให้มากขึ้น แต่กลับถูกตัดทอนลดลงไปอีก
เนื่องจากครั้งก่อนที่ผมได้อภิปรายในเรื่องนี้ มีผู้สนใจติดตามและให้ข้อสังเกตที่เป็นประโยชน์เป็นจำนวนมาก จึงเป็นหน้าที่ที่ผมจะสรุปให้ฟังว่าขณะนี้ยังมีข้อกังวลเรื่องใดบ้างดังนี้
1.รายได้จากการเก็บภาษีจะไม่เข้าเป้า
สมมุติฐานที่ใช้ในตอนจัดทำงบฯ คลาดเคลื่อนจากสถานการณ์ปัจจุบันมาก ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 2.7% (’62) และ 2.9% (’63) อัตราแลกเปลี่ยนที่เกือบ 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ตัวเลขการค้าการลงทุนที่ถดถอย วันนี้เศรษฐกิจไทยปี’62 และ ’63 เติบโตให้ได้ถึง 2.5% ก็ไม่ง่ายแล้วในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนก็แข็งค่าขึ้นแตะ 29 บาทกว่าแล้ว
2.ปัญหาสงครามการค้า ความไม่สงบในตะวันออกกลางจะยืดเยื้อกระทบเชื่อมั่น
ปัญหาจากภายนอกเหล่านี้ที่เราควบคุมไม่ได้เลย ส่งผลกระทบต่อทุกประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วยแล้ว ที่เห็นชัดวันนี้ก็คือเศรษฐกิจโลกเติบโตลดลง 1% แล้วจากเดิม 3.5% เหลือ 2.5% ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ตลาดทุนทั่วโลกติดลบรุนแรง ตลาดหลักของไทยถดถอย
3.ปัญหาเร่งด่วนของชาวบ้านยังไม่แก้ไขเป็นระบบ
3.1 รายได้ชาวบ้านไม่มั่นคง/ถดถอย
3.2 ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูง เพราะน้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้า ขนส่ง ราคาสูงเกินควร (เรื่องนี้แก้ไขไม่ยาก ไม่ต้องใช้งบประมาณ แต่วันนี้ยังไม่เห็น..!!)
3.3 หนี้ครัวเรือนพุ่ง ทั้งในและนอกระบบ เครื่องมือที่ใช้ในปัจจุบันให้ผลน้อย ยังไม่ตอบโจทย์
3.4 การว่างงานที่เพิ่มขึ้นในบางอุตสาหกรรมจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และการปรับตัวของภาคการผลิต
3.5 ปัญหาส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝากสูงมาก
3.6 ปัญหา 16 จังหวัดรายได้ครัวเรือนลดลงรุนแรง
เรื่องเหล่านี้ ผมได้อภิปรายในรายละเอียด รวมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขแล้วในวันที่ 17 ตุลาคม 2562 แต่ก็ต้องบอกว่ายังไม่เห็นนโยบายและงบประมาณที่ชัดเจนเลย ถ้าจะไม่ทำตามที่ผมเสนอก็ไม่ว่า… แต่ควรต้องชัดว่าจะแก้ปัญหาเหล่านี้ให้พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างไร...?
4.ภาคการส่งออกต้องเร่งแก้ไข
รายได้จากการส่งออกเป็นรายได้หลักของประเทศวันนี้ถดถอยรุนแรงจากปัญหาภายนอกและอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าเร็วกว่าและมากกว่าประเทศคู่ค้าคู่แข่ง ผมเสนอให้เร่งเปิดตลาดใหม่ เร่งเจรจาความตกลงการค้าเพิ่ม ทั้งสหภาพยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกาและลาตินอเมริกา แต่ไม่รู้ว่าทำไมงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับถูกปรับลดลง..!!
5.สร้างความเก่ง ต้องเร่งงานวิจัย
งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความสามารถในการแข่งขัน การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม การสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ ที่ควรจัดสรรเพิ่มเติมให้อย่างมากเพราะที่จัดไว้เดิมน้อยอยู่แล้ว กลับถูกปรับลดลงทุกรายการ..!!จะให้ไม่กังวลได้อย่างไรครับ..??
นี่แหละครับ.! ผมเลยสรุปมาให้ทราบเฉพาะเรื่องที่สำคัญๆ ถ้างบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ผ่านไปตามที่เห็น รัฐบาลก็มีทางเลือกไม่มากในการบริหารจัดการ คงต้องเกลี่ยจากงบกลางฯ ในเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วน แต่ก็เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุมากกว่าการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์และมีข้อจำกัดอยู่มาก ผมพูดเสมอครับว่า “ตั้งโจทย์ผิด ก็ได้คำตอบผิด”, “งบประมาณต้องสอดคล้องกับนโยบาย นโยบายต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ทั้งภายในภายนอก” ไม่เช่นนั้นก็หลอกตัวเอง..!
ต้องขออภัยนะครับ… ต้องพูดตรงๆ... ติเพื่อก่อ...ต่างคนต่างทำหน้าที่ครับ... ในที่สุดคงต้องตัดสินเองนะครับ ว่า พ.ร.บ.งบฯ ฉบับนี้ ตอบโจทย์หรือไม่อย่างไร..? แต่ สส. ต้องเป็นปากเสียงให้ประชาชน… และผลประโยชน์ประเทศและประชาชนต้องสำคัญที่สุดสำหรับนักการเมืองครับ...!!!
ด้าน นายกรณ์ จาติกวณิช สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในส่วนของงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ ของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17 โดยได้อภิปรายใน 2 ประเด็นที่สำคัญในแง่ของการใช้งบประมาณ
ประเด็นแรก คือการเพิ่มอาวุธเติมทักษะให้เยาวชน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง และโอกาสที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโลก ด้วยการเพิ่มทักษะทางภาษาให้กับเด็กไทย โดยจะต้องสามารถพูดได้อีก 1 ภาษา คือภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีน ซึ่งช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ทีมนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ได้นำร่องโครงการ English For All และรัฐบาลที่ผ่านมาได้นำโครงการนี้ไปทดลองในหลายโรงเรียนทั่วประเทศ แม้ในปีนี้จะยังไม่มีการกำหนดงบประมาณชัดเจนเพื่อรองรับโครงการนี้ แต่ก็ทราบว่าอาจจะมีการนำงบกลางส่วนหนึ่งเพื่อมาใช้ขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว
English For All คือการเปลี่ยนวิธีการสอนภาษาอังกฤษเพื่อที่จะให้เด็กไทยสามารถพูดได้ สื่อสารได้ อันเป็นเป้าหมายหลักของโครงการ โดยมีหลักสำคัญ 4 ข้อ 1.ครูที่สอนต้องพูดภาษาได้จริง ดังนั้น อาจต้องมีการนำเข้าครูจากต่างประเทศเพื่อมาสอนเด็กไทย 2.เด็กต้องมีโอกาสได้เริ่มเรียนภาษาตั้งแต่อายุน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นจึงได้มีการเริ่มโครงการกับชั้นอนุบาล 1 และให้โอกาสได้เรียนไปทุกๆ ปี อย่างน้อย 6 ปี 3.เวลาการเรียนต้องเพียงพอ ต้องได้เรียนภาษาอังกฤษทุกวัน อย่างน้อย 1 ชม.-2 ชม. 4.เปลี่ยนแปลงวิธีการสอบ จากการสอบแบบข้อเขียน และเลือกคำตอบ มาเป็นการสอบด้วยการสนทนา และโดยเทคโนโลยีก็สามารถทำได้ด้วยมาตรฐานเดียวกันสำหรับเด็กไทยทั่วประเทศ
นายกรณ์ได้กล่าวถึงงบประมาณสำหรับโครงการ English For All สำหรับเด็กไทยทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้ หากรัฐบาลต้องการขับเคลื่อนในระดับอำเภอก็จะใช้งบประมาณน้อยกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี และหากต้องการขยายผลในระดับตำบล ก็จะใช้งบราว 7,000 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้มั่นใจว่าจะได้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจกลับมาหลายสิบเท่าอย่างแน่นอน
นอกจากนี้นายกรณ์ ยังได้กล่าวถึงโครงการเกษตรเข้มแข็ง พร้อมถ่ายทอดจากประสบการณ์จริงว่า มีข้อสังเกตสำคัญ 2 ข้อ
1.พี่น้องเกษตรกรไทยส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ จึงมีความจำเป็นต้องผลิตเกษตรกรพันธุ์ใหม่
2.เกษตรกรผู้สูงอายุมีความรู้เรื่องเทคโนโลยี และความรู้เรื่องการตลาดน้อย ดังนั้นจึงต้องเติมอาวุธให้เกษตรกรพันธุ์ใหม่ให้สามารถเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง
เมื่อพูดถึงวิทยาลัยเกษตรกรและเทคโนโลยี วิทยาลัยประมง รวม 47 แห่ง ปัจจุบันมีนักศึกษาราว 20,000 กว่าคนงบประมาณที่จัดสรรให้รวมเพียง 100 ล้านบาท อีกทั้งงบพัฒนาและวิจัยที่จัดสรรให้อาชีวะโดยรวมกลับลดลงทุกปี ดังนั้นจึงถึงเวลาที่จะยกระดับมาตรฐานวิทยาลัยดังกล่าวด้วยการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นสถาบันที่มีความสามารถที่จะผลิตเกษตรพันธุ์ใหม่ (Smart Farmer) ได้
ขณะที่ ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แปรญัตติงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการเพื่อปรับลด 5% ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17 ทั้งนี้เพื่อปรับระบบภายในของกระทรวง เพื่อให้ตรงไปสู่ชั้นเรียนที่จะทำให้นักเรียนมีคุณภาพ
โดย ดร.กนกแนะว่า กระทรวงศึกษาธิการขับเคลื่อนด้วยระบบใหญ่ 3 ระบบ 1.สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) อันเกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของกระทรวง อาทิ ตำแหน่ง อัตรา การบรรจุแต่งตั้งโยกย้าย 2.ครุสภา ทำงานด้านวิชาการ ประกันมาตรฐานทางวิชาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพครู 3.สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครู และบุคลากรทางด้านการศึกษา (สกสค.) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับสวัสดิการ และสวัสดิภาพครู
ทั้ง 3 ระบบได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ครูมีขีดความสามารถและมีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ด้านการเรียนการสอน เมื่อทั้ง 3 ระบบพร้อมสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็สามารถนำครูไปปฏิบัติหน้าที่การสอนในโรงเรียนได้
ดร.กนกระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในงบประมาณปี 2563 คือ 3 ระบบนี้ต่างคนต่างทำงาน ขาดการบูรณาการเพื่อตอบเป้าหมายคุณภาพทางการศึกษา แต่ละหน่วยงานเน้นในการทำหน้าที่ของตัวเองเป็นหลักของใครของมัน และงบประมาณรายจ่ายในปีนี้ก็ไม่มีงบประมาณและแผนงานใดเลยที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้
ดังนั้นจึงมีข้อเสนอแนะว่า งบประมาณรายจ่ายปี2563 นี้ กระทรวงศึกษาธิการควรปรับงบประมาณภายในเพื่อนำไปสร้างการบูรณาการของการปฏิบัติงานของ 3 องค์กรหลักเพื่อให้รับผิดชอบต่อโจทย์ในการยกระดับคุณภาพของนักเรียนซึ่งสามารถเริ่มทำได้เลยในปีนี้ ส่วนปีหน้า กระทรวงฯ ควรจัดทำงบประมาณและแผนงานเพื่อปรับบทบาทของ 3 องค์กรหลักนี้ เพื่อยกระดับคุณภาพครู โรงเรียน และนักเรียนด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน
ทั้งนี้ ดร.กนก ยังได้สรุปถึงอุปสรรคสำคัญสำหรับคุณภาพการศึกษาไทยว่า ระบบ ก.ค.ศ. / สกสค. และครุสภา ล้มเหลว ไม่สามารถทำให้เกิดคุณภาพการเรียนการสอนและคุณภาพของนักเรียนได้ สพฐ. ไม่สามารถกำกับการสอนของครูในชั้นเรียนให้เกิดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพได้ ระบบแผนงานของกระทรวงศึกษาธิการยังขาดความเข้าใจและการใส่ใจในการวัดสัมฤทธิผลที่เกิดกับ “ตัวนักเรียน”
ดร.กนก ได้ให้ข้อเสนอแนะสำหรับกระทรวงศึกษาธิการว่า 1.ต้องปรับภารกิจของ สพฐ. ให้ตรงไปสู่การเรียนการสอนในชั้นเรียนให้ได้ 2.อยากเห็นกระทรวงศึกษาธิการกลับมาประเมิน ทบทวนบทบาทภารกิจ และโครงสร้างของ ก.ค.ส./สกสค. และครุสภาใหม่ เพื่อจัดระบบและความสัมพันธ์ของ 3 องค์กรนี้ให้ทันต่อสภาพแวดล้อมของสังคมที่เปลี่ยนแปลง และให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง หากทำได้เช่นนี้แล้วจะทำให้ระบบทำงาน โครงสร้างใช้การได้ การจัดการศึกษาสอดคล้องกับสภาพสังคมและเทคโนโลยี ก็จะทำให้นักเรียนมีคุณภาพได้
โดยมีคาถา “3 ต้อง” ของ กนก คือ 1.ต้องทำเป็น2.ต้องมีเครื่องมือที่ทันสมัย 3.ต้องมีใจ
นี่คือการทำงานในสภาอย่างสร้างสรรค์ ติติงท้วงติงกันเพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ห้ำหั่นทางการเมือง ไล่กัน เชียร์กัน อย่างไร้สาระไปวันๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี