ปัญหาเรื่องฝุ่นตลบ แล้งกระจาย ฝืดเคืองกระจุกโดยเฉพาะคนจน เป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้รัฐบาลทหาร “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” จะอยู่ได้อย่างยากลำบากในปีนี้
แล้งนี้ ใหญ่หลวงนัก เมื่อจะต้องมาเจอกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เป็นการเปิดแผล เปิดให้คนทั่วไปได้คิดได้รับรู้ข้อมูล ไม่ใช่แต่เพียงร่องรอยของการทุจริตเท่านั้น แต่การเอื้อประโยชน์ก็ดี การขาดประสิทธิภาพการบริหารงานก็ดี การขาดคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการมีประวัติที่ไม่เหมาะสมมาบริหารราชการแผ่นดิน จะสามารถกระตุ้น เร่งเร้าความรู้สึกของผู้คน ในยามที่ฝุ่นตลบ แล้งกระจาย และการทำมาหากินฝืดเคือง
สถานการณ์อาจจะเป็นเหมือนที่ฝ่ายค้านมุ่งหวังไว้ คือการตรวจสอบเปิดโปงข้อมูลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ คงจะเป็นได้เพียงการ
“เปิดแผลในสภาให้ไปเน่านอกสภา”
ฝุ่น แล้ง ฝืด เป็นปัญหาจากโครงสร้างที่จะต้องได้รับการจัดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับปัญหาที่อาจเกิดในอนาคต รัฐบาลปัจจุบันจะอ้างว่าเพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียง 6 เดือนก็ไม่น่าจะสมเหตุผล เพราะในความเป็นจริงรัฐบาลทหาร “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” ก็ได้บริหารงานมานานกว่า 5 ปี 6 เดือนเสียด้วยซ้ำ
นายกฯ ก็ชื่อประยุทธ์ (อดีต ผบ.ทบ ) รองนายกฯ ก็ชื่อ พล.อ.ประวิตร (อดีต ผบ.ทบ) รมต.มหาดไทยก็ชื่อ พล.อ.อนุพงษ์
(อดีต ผบ.ทบ) นอกนั้นก็ยังมีรองนายกฯ สมคิด รองนายกฯ วิษณุ รมต.อุตตม รมต.สนธิรัตน์ รมต.พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ซึ่งยังคงสืบทอดอำนาจต่อจากรัฐบาลก่อนทั้งสิ้น
ถามคนเหล่านี้ว่ารู้มาก่อนหน้าไหมว่า “ฝุ่น แล้ง ฝืด” กำลังคุกคามคนไทย ก็คงจะยากที่จะตอบว่าไม่รู้ เพราะปัญหาเหล่านี้
เป็นอาการของโรคที่ผลุบโผล่ สลับสับเปลี่ยนมามากกว่า 5 ปีแล้ว
ฝุ่น
ก็โทษอากาศไม่หมุนเวียน ไม่ลอยตัว ลมไม่พัดฝุ่นออกไปจากเมือง เกษตรกรเผาตอซังวัสดุการเกษตร รถดีเซลเครื่องหลวมพ่นควันดำ การก่อสร้างและโรงงานไม่ดูแลมาตรฐานขจัดฝุ่น
พออากาศหมุนเวียน มีลม มีฝนตก ก็ยุติการเอาจริงเอาจังในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาล
ซึ่งในความเป็นจริง รัฐบาลควรต้องหาสาเหตุและแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อย่างเช่น
1. รถยนต์ควันดำ
1.1 รถยนต์ดีเซลที่ปล่อยควันดำเป็นเพราะรถเก่า เครื่องหลวม จึงเผาไหม้ไม่หมดเกิดฝุ่นละอองก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีเสียใหม่ เพราะเดิมเราเก็บภาษีเมื่อมีการซื้อขายรถใหม่ในอัตราสูงมากและเก็บภาษีประจำปี (ค่าธรรมเนียมต่อทะเบียน) ในอัตราต่ำลงเรื่อยๆ สำหรับรถยิ่งเก่าก็จะยิ่งเสียภาษีในอัตราที่ถูก จึงเป็นการส่งเสริมให้คนใช้รถยาวนานกว่าที่ควรจะใช้ แล้วยังเป็นการส่งเสริมให้ซื้อเครื่องยนต์เก่าจากต่างประเทศ เข้ามาเปลี่ยนเพื่อซ่อมแซมใช้ต่อไปอีก ในความเป็นจริงเครื่องยนต์เก่าที่นำเข้าจากญี่ปุ่นก็เป็นเครื่องที่ประเทศญี่ปุ่นไม่ให้ใช้แล้วเพราะกลัวฝุ่นควัน
การปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษี โดยเก็บภาษีแรกซื้อรถใหม่ (ภาษีสรรพสามิตและอื่นๆ) ในอัตราที่ต่ำลง แต่ไปเพิ่มภาษีรถที่ต้องจ่ายเวลาต่อทะเบียนประจำปีให้สูงขึ้น และยิ่งใช้นานสร้างมลภาวะฝุ่นสูงก็เก็บในอัตราที่สูง ซึ่งหากรัฐบาลต้องการเก็บภาษีให้ได้รายได้ต่อคันเท่าเดิมก็สามารถกำหนดอัตราภาษีแรกซื้อรถใหม่รวมกับภาษีที่เก็บในแต่ละปีให้เท่ากันได้
1.2 การห้ามรถบรรทุกดีเซลวิ่งในเมืองชั้นใน หรือจัดสรรให้เข้าได้เฉพาะวันคู่ (ในช่วงเวลาที่เคยอนุญาตไว้) ก็ได้แต่เป็นเพียงข้อเสนอ ซึ่งต้องรอมติ ครม.
จะเห็นได้ว่ามาตรการกำจัดที่ปริมาณการใช้ จะเป็นมาตรการแก้ไขเฉพาะหน้าหรือขอไปที มากกว่ามาตรการที่โครงสร้างภาษีซึ่งกระทบโครงสร้างราคา จะทำให้แก้ไขปัญหาระยะยาวที่ยั่งยืนกว่า
2. เกษตรกรเผาตอซังและวัสดุการเกษตร
2.1 เกษตรกรแต่ละราย จะพยายามบริหารต้นทุนการเกษตรให้ต่ำสุด ซึ่งในอดีตที่ปัญหาฝุ่นละอองยังไม่มาก การเผาวัสดุการเกษตรก็ไม่เกิดปัญหาอะไรมากมายนัก แต่เมื่อปริมาณฝุ่นจากแหล่งต่างๆมาบรรจบกัน การเผาวัสดุเกษตรเพื่อลดต้นทุนของตัวเองก็เป็นการสร้างภาระต้นทุนให้กับคนอื่นๆในสังคม
ทางออก หรือการแก้ปัญหาที่ถาวรจะต้องกระทำที่ต้นเหตุกล่าวคือ ศึกษาให้เข้าใจว่าทำไมเกษตรกรถึงเผา หากเป็นเพราะต้องการลดต้นทุน เพราะการฝังกลบจะเกิดต้นทุนที่สูงกว่า ทั้งค่าฝังกลบและต้องมีต้นทุนของการขจัดแมลง โรค และศัตรูพืช รัฐจึงสามารถกำหนดมาตรการที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเกษตรกร โดยอาจจัดเก็บภาษี (ค่าปรับ) กับผู้ที่เผาในอัตราที่ทำให้ต้นทุนของการขจัดวัสดุการเกษตรโดยวิธีการเผาสูงขึ้น จนมากกว่าการขจัดวัสดุเกษตรด้วยวิธีอื่น หรือรัฐอาจจะใช้วิธีอุดหนุนเงินให้เกษตรกรเพื่อลดต้นทุนขจัดวัสดุการเกษตรด้วยการฝังกลบ เป็นต้น
2.2 การสั่งให้เกษตรกรหยุดเผา เป็นที่นิยมเพราะดูจะเป็นของง่ายที่จะใช้อำนาจสั่งให้ยุติปัญหาแต่ก็ไม่ได้แก้ไขระยะยาว
3. กรณีฝุ่นละอองจากการก่อสร้างและอุตสาหกรรม ก็สามารถที่จะคิดนโยบายและมาตรการที่แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน โดยต้องเข้าใจสาเหตุของพฤติกรรมของผู้ประกอบการที่ต้องการลดต้นทุนของตน โดยการปล่อยฝุ่นละอองสู่สังคม และหากเจ้าหน้าที่คิดมาตรการดำเนินการที่ยั่งยืนแล้ว ที่สำคัญจะต้องเป็นระบบที่เจ้าหน้าที่จะหาประโยชน์ใส่ตนและเลือกปฏิบัติได้ยาก
แล้ง
ก็มักจะโทษโลกร้อน อากาศแปรปรวน ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ทางแก้ไขก็ลงที่เกษตรกรเช่นเคย คือ ให้ชาวนาหยุดทำนา เปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ใช้น้ำน้อยกว่า สุดท้ายก็ขอให้ทุกคนประหยัด ใช้น้ำอย่างระมัดระวัง แล้วก็หวังจะทำฝนเทียม
พอฝนตกลงมาเราก็จะไม่ได้ยินความสนใจของรัฐบาลว่าจะพัฒนาแหล่งน้ำ ระบบและโครงสร้างของการจัดสรรน้ำและการใช้น้ำ
ประชาชนจึงอยากรู้ว่า
1. เราจะพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อให้มีน้ำต้นทุนใช้ในยามแล้งอย่างถาวรได้อีกหรือไม่
2. เราจะสามารถผันน้ำจากแหล่งหนึ่ง ไปอีกแหล่งหนึ่งได้มากน้อยเป็นจริงแค่ไหน จะบรรเทาปัญหาได้แค่ไหน จะส่งผลกระทบ
ต่อผู้ใช้น้ำในแหล่งเดิมมากน้อยแค่ไหน และเมื่อไหร่จะเสร็จสิ้น
3. การจัดสรรน้ำต้นทุนที่มีอยู่อย่างจำกัดจะให้ความสำคัญกับเรื่องอะไร ก่อน - หลัง คือ
-ต้องเก็บน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในอนาคต
-ปล่อยน้ำเพื่อการเดินเรือ และ ขนส่งสินค้า
-น้ำเพื่อชาวนา ชาวสวนผัก และ ชาวสวนผลไม้
-น้ำเพื่อการประมง
-น้ำเพื่อไล่น้ำเสียที่อุตสาหกรรมและบ้านเรือนทิ้งลงในแม่น้ำ
-น้ำเพื่อไล่น้ำเค็มที่หนุนสูงขึ้น
-น้ำเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ
-น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค
ฝืด
สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน ประชาชน พ่อค้าแม่ขายรายเล็กรายน้อยทั่วไป เศรษฐกิจการทำมาค้าขายฝืดเคือง รายได้ตกต่ำ แต่ขณะเดียวกันเศรษฐี เจ้าสัว บริษัทขนาดใหญ่ร่ำรวยมากขึ้น
การลงทุนในประเทศเสื่อมถอย การส่งสินค้าออกต่างประเทศลดลง มีการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี ที่ใช้เครื่องจักรสมองกลระบบอัตโนมัติทดแทนแรงงานมากขึ้น
สิ่งที่ประชาชนจับต้องได้จากการประชาสัมพันธ์ของรัฐ
ก็คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงิน
เริ่มจากแจกเงินกับคนจน (อ้างเป็นสวัสดิการคนจน) แจกเงินเพื่อลดต้นทุนให้กับเกษตรกร
แล้วยังมีการแจกเงินเพื่อให้ “ชิม ช้อป ใช้” และชวนไปเที่ยวทั่วไทย เพื่อนำรายได้ของรัฐที่มาจากภาษีอากรทั่วประเทศ
ไปให้ประชาชนจำนวนหนึ่งใช้ ตอกย้ำวัฒนธรรมอุปถัมภ์โดยอ้าง “กระตุ้นเศรษฐกิจ”
หากรัฐบาลจะได้พิจารณาว่า ในอดีตประเทศของเราเติบโตด้วยการขุดขายทรัพยากรธรรมชาติมากน้อยแค่ไหน เรามีแรงงานค่าจ้างต่ำๆ ไว้ให้ต่างชาติมาใช้ผลิตสินค้า เรามีความสามารถด้านบริการทั้งในระบบและนอกระบบมากน้อยแค่ไหน
ปัจจุบัน ทรัพยากรร่อยหรอ ไม่พอที่จะส่งออกหรือให้ต่างชาติมาใช้ ค่าจ้างแรงงานแพงขึ้น เราสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆไปเรื่อยๆ เรากำลังหมดเสน่ห์ที่จะดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ เว้นแต่ด้านบริการ ใช่หรือไม่
หากจะพิจารณาโครงสร้างการผลิตของไทย จะพบการผูกขาดกระจุกตัวอยู่แต่เฉพาะรายใหญ่ เพราะนอกจากจะได้สิทธิพิเศษในการประกอบการ ธุรกิจขนาดใหญ่เหล่านี้ยังมีเทคโนโลยีเครื่องจักรสมองกลระบบอัตโนมัติ ทดแทนแรงงาน สิทธิพิเศษส่วนหนึ่งก็ได้จากการเอื้ออำนวยของข้าราชการและนักการเมือง ซึ่งเชื่อว่ามีการแลกผลประโยชน์อย่างไม่เปิดเผย เมื่อผู้ลงทุนรายใหญ่สะสมกำไร ก็มีโอกาสนำเงินไปลงทุนต่างประเทศ
คนที่ฐานะดีก็นิยมใช้จ่ายเงินท่องเที่ยวต่างประเทศ ไป “ชิม ช้อป ใช้” ที่ต่างแดน
นอกจากนโยบายเฉพาะหน้าแบบที่หว่านเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลควรต้องกลับมาสร้างการแข่งขัน ทำลายการผูกขาด ด้วยการกำหนดมาตรการและขั้นตอนให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งใหญ่และเล็กสามารถเข้าแข่งขันได้ง่าย
รัฐบาลอาจต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติของตนเอง แทนที่จะยุยงส่งเสริมให้คนจับจ่ายใช้เงินและเป็นหนี้มากขึ้น อาจจะต้องกระตุ้นให้คนไทยเลิกฟุ้งเฟ้อ พึ่งตนเอง ไม่งอมืองอเท้ารอแจกเงินจากรัฐบาล แต่รัฐต้องให้ชาวบ้านสามารถพึ่งตนเอง และสร้างการออมเพื่อใช้ในยามสูงอายุ
แทนที่รัฐจะแจกเงินที่ตอกย้ำระบบอุปถัมภ์ แต่นำเงินดังกล่าวมาศึกษาและหาหนทางเพื่อให้ประชาชนใช้เทคโนโลยีใหม่ในการลดต้นทุนการผลิต จะได้มีความสามารถในการส่งออกสู้กับต่างประเทศ
ฝุ่น แล้ง ฝืด จะทำให้คนไทยหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดีกับรัฐบาล
สอดคล้องกับคำไทยว่า ฝืดเคือง คือ ฝืดแล้วจะเคือง
โดยเฉพาะเมื่อสังคมไทยเป็นสังคมระบบอุปถัมภ์ที่ประชาชนส่วนใหญ่หวังพึ่ง “นาย” เชื่อว่านายมีอำนาจ มีบารมี มีทรัพยากรมาก จะต้องช่วยปัดเป่าความทุกข์ให้
ปี 2563 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องพบศึกหนักจะต้องปรับตัวครั้งใหญ่ภายใต้ความหงุดหงิดของประชาชนคนไทย การปรับคณะรัฐมนตรี หรือการยุบสภาจะต้องมีอย่างแน่นอน แต่หากปัจจัยเรื่องความไม่เป็นธรรม การมีการเลือกปฏิบัติ “ถ้าเป็นพวกของข้าไม่ว่า แต่ถ้าเป็นพวกของเจ้า ข้าเอาตาย”บ้านเมืองก็อาจจะถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี