ภายหลังที่กรมสรรพสามิตออกมาเปิดเผยว่า เตรียมจัดหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงการขยายเวลาปรับขึ้นภาษีบุหรี่เป็นอัตราเดียว 40% จากกำหนดเดิมในวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ออกไปก่อน เพราะทั้งผู้ประกอบการ ได้แก่ การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) และเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ ยังได้รับผลกระทบจากการที่ยอดขายบุหรี่ลดลงอย่างรุนแรง และส่งผลให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนจากการโดน ยสท. ลดการซื้อใบยาสูบลง
แต่มีฝ่ายต่อต้านการสูบบุหรี่บางคน ออกมาคัดค้านในทันที โดยให้เหตุผลว่าหากกรมสรรพสามิตปรับราคาบุหรี่ในทันทีจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น ยสท. กลับมามีกำไรนำเงินส่งคลังได้มากขึ้น และรัฐบาลจะได้นำเงินส่วนหนึ่งไปชดเชยช่วยเหลือชาวไร่ได้
ในขณะที่ชาวไร่ยาสูบซึ่งนอกจากจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษียาสูบ ยังเพิ่งประสบภัยพิบัติลูกเห็บตกทำไร่ยาสูบเสียหายกว่า 500 ไร่ ครวญว่าการขึ้นภาษีบุหรี่อีกครั้ง เป็นการซ้ำเติมชาวไร่ยาสูบ ปัจจุบัน ภาษีบุหรี่ก็สูงมากอยู่แล้ว บุหรี่ซองหนึ่งราคาเริ่มต้น 60 บาท หากมีการขึ้นภาษีบุหรี่อีกในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ ราคาบุหรี่ซองที่ต่ำที่สุดจะเป็น 90 บาทผู้สูบคงหันไปสูบบุหรี่หนีภาษีและยาเส้นที่ขายกัน 15-30 บาทเท่านั้น คนสูบบุหรี่ก็ไม่ได้ลดลงอย่างที่กระทรวงสาธารณสุขหรือองค์กรที่ต่อต้านการสูบบุหรี่ ตั้งใจ อยากให้รัฐบาลนำเงินบางส่วนจาก สสส. ที่อุตสาหกรรมยาสูบนำส่งปีละหลายพันล้านบาทมาตั้งกองทุนช่วยเหลือชาวไร่ยาสูบที่ได้รับความเดือดร้อนบ้าง
เช่นเดียวกับนายคณุตม์ ฤทธิสอน รักษาการประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบ เองก็ออกมาเปิดเผยว่า ยสท. เองก็ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีบุหรี่ในปี 2560 อย่างหนักหากมีการขึ้นภาษีอีกจริง ยสท. คงอยู่ไม่ได้ และชาวไร่ยาสูบไทยคงได้รับผลกระทบไปด้วยแน่นอน ปัญหาตอนนี้เป็นเรื่องภาระภาษีบุหรี่ที่สูงเกินไป ทางที่ดีรัฐบาลควรช่วยเลื่อนภาษีสรรพสามิต 40% ออกไปก่อน และพิจารณากำหนดอัตราภาษีบุหรี่ที่เหมาะสมให้ทุกฝ่ายในอุตสาหกรรมอยู่ได้ อย่าขึ้นภาษีบุหรี่ทีละ 80-90% เหมือนเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา
ด้าน รศ.ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นสนับสนุนการใช้มาตรการภาษีเพื่อช่วยควบคุมการบริโภคบุหรี่ แต่สิ่งที่ต้องควรระวังคือการปรับอัตราภาษีแพงขึ้นแบบก้าวกระโดด สวนทางกับกำลังซื้อของคนไทยที่ไม่ได้เติบโตสูงมาในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายของบุหรี่ลดลงตามมา ในขณะที่สินค้าทดแทนอย่างยาเส้นหรือบุหรี่เถื่อนได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะยังคงเสียภาษีต่ำมากหรือไม่ได้มีการเสียภาษีเลย
พร้อมเสนอแนวคิดว่า การปรับอัตราภาษีบุหรี่ให้เป็นอัตราเดียวยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการใช้อัตราภาษีมูลค่าสองอัตราที่ 20% และ 40% ยังไม่เป็นไปตามแนวปฏิบัติที่ดีตามหลักสากลที่ระบุไว้ชัดว่าระบบภาษีควรใช้อัตราภาษีแบบอัตราเดียว ไม่ควรมีหลายอัตรา เพราะจะทำให้บริษัทบุหรี่พยายามหาช่องว่างทางภาษีเพื่อเสียภาษีในอัตราที่ถูกกว่าได้ และกรมสรรพสามิตควรแก้ไขปัญหาภาษียาสูบแบบยั่งยืน โดยควรกำหนดแผนการปรับขึ้นภาษีบุหรี่เป็นอัตราเดียวในระยะยาวและให้เป็นขั้นเป็นตอน โดยหาจุดสมดุลระหว่างวัตถุประสงค์ด้านสุขภาพและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการและชาวไร่ยาสูบ
ดังนั้น แนวทางที่อยู่ตรงกลางน่าจะเป็นการประกาศค่อยๆขึ้นภาษี โดยใช้ระยะเวลาเพิ่มขึ้นในการที่ปรับเปลี่ยนไปสู่อัตราภาษีบุหรี่อัตราเดียว เพื่อช่วยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะชาวไร่ยาสูบด้วยมีเวลาปรับตัวมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดแรงเสียดทานทางการเมืองโดยเฉพาะในระยะสั้นได้ และไม่ต้องมาคอยนั่งแก้ไขภาษีกันบ่อยๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี