ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา คดีทุจริตเงินค่าโฆษณาเกินเวลา อสมท นับเป็นบทสรุปคดีทุจริตอันลือลั่นวงการสื่อสารมวลชน
จบที่ศาลปราบโกง ชั้นฎีกา จำคุก 6 ปี 24 เดือน
ปรากฏว่า หลังคำพิพากษา แฟนเพจ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว” ได้นำเสนอ “ความในใจจากพี่ยุทธ ก่อนฟังคำพิพากษา” กล่าวถึงประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับที่ถูกกระบวนการยุติธรรมพิพากษาคดี
บางประเด็น อาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน และเกิดความรู้สึกลบกับศาลยุติธรรม
วันนี้ จึงขอให้ข้อมูลความจริง ที่ชัดเจน
1. สรยุทธบอกว่า “ผมได้พยายามแสดงให้เห็นว่า ไร่ส้มโฆษณาเกินในขณะที่ อสมท โฆษณาเกินมากยิ่งกว่า โดยไร่ส้มไม่เคยไปเบียดบังเวลาโฆษณาของ อสมท แต่เมื่อเห็นว่าสถานีเป็นเจ้าของเวลา จะทำอะไรก็ได้ ผมก็ยอมรับกระบวนการโฆษณา ไม่เคยมีการปกปิด และถึงจะต้องการปกปิด ก็ปกปิดไม่ได้โดยเจ้าหน้าที่ธุรการเพียงคนเดียว โดยมีกระบวนการที่เปิดเผยเกิดขึ้นต่อเนื่องเรื่อยมาเกินกว่า 500 ครั้ง เจ้าหน้าที่คนนี้ได้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาแล้วผ่านใบคิวโฆษณาทุกวัน แต่เมื่อเห็นว่าโฆษณาเกินปกปิดได้ ผมก็ต้องยอมรับ...”
ความจริง... ประเด็น อสมท ก็โฆษณาเกินเวลานั้น ถูกพิพากษาชี้ขาดถึงที่สุดไปแล้วเช่นกัน โดยศาลปกครองสูงสุด นายสรยุทธและไร่ส้มได้เป็นฝ่ายฟ้องต่อศาลปกครอง เคยชนะในชั้นศาลปกครองกลาง ก่อนจะแพ้ในศาลปกครองสูงสุด ในคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดมีรายละเอียด ทั้งข้อเท็จจริง เหตุผล และข้อกฎหมายชัดเจน ว่าทำไม อสมทจึงสามารถทำได้ ทำไมไม่ต้องแบ่งเงินให้ไร่ส้ม และที่สำคัญ การกระทำนั้นในฐานะเจ้าของสถานี ดำเนินการอย่างถูกต้องตามสัญญาที่ อสมท กระทำกับไร่ส้มทุกประการ
ส่วนที่ว่าเจ้าหน้าที่ อสมท รายงานต่อผู้บังคับบัญชาผ่านใบคิวโฆษณาทุกวันนั้น ในคำพิพากษาศาลฎีกา ระบุว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นางพิชชาภา
เอี่ยมสะอาด (เจ้าหน้าที่ อสมท จำเลยที่ 1) ไม่ได้รายงานค่าโฆษณาเกินเวลาของไร่ส้ม ต่อมาเมื่อสอบปากคำจำเลยที่ 1 ให้การยอมรับว่า ไร่ส้มมีการโฆษณาเกินเวลาจริง รวมถึงใช้ปากกาลบคำผิดในใบคิวโฆษณา นอกจากนี้ตามทางไต่สวนของโจทก์ เห็นว่า น.ส.มณฑา ธีระเดช (พนักงานบริษัท ไร่ส้มจำเลยที่ 4) ได้สั่งการให้นางพิชชาภาใช้ปากกาลบคำผิดในใบคิวโฆษณาโดยอ้างถึงนายสรยุทธขอมาให้กระทำการดังกล่าว ขณะเดียวกันหากนางพิชชาภามิได้ผลประโยชน์ตอบแทน ย่อมไม่จำเป็นต้องทำตามที่นายสรยุทธและน.ส.มณฑาร้องขอ (ช่วงเวลาเดียวกันนั้นได้รับเช็คจากไร่ส้ม ที่เซ็นโดยนายสรยุทธ แม้จะอ้างว่าไม่ใช่ค่าตอบแทนการดำเนินการโดยตรง)
2. สรยุทธบอกว่า “..การจ่ายเช็คทั้ง 6 ฉบับ มีที่มาที่ไปว่าเป็นการจ่ายค่าจ้างเพื่อให้ทำงานเกี่ยวกับการขายโฆษณา มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายอย่างครบถ้วน ยอดเงินเป็นเศษสตางค์ และตัวเลขไม่ได้มีความสัมพันธ์กับโฆษณาเกินเลย แต่เมื่อเชื่อว่าเป็นการจ่ายสินบน ผมก็ต้องยอมรับ...”
ความจริง คือ ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่นายสรยุทธสู้ในชั้นฎีกา และศาลฎีกาก็รับฟัง และเป็นที่มาว่าทำไมนายสรยุทธและพวกจึงได้รับโทษจำคุกน้อยลงจากคำพิพากษาในชั้นศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นั่นเอง
โดยฎีกาของฝ่ายจำเลยต่อสู้ว่า เช็คจำนวน 6 ฉบับ วงเงิน 739,770 บาท ที่สั่งจ่ายให้นางพิชชาภานั้น มิใช่ค่าตอบแทนในการช่วยเหลือเพื่อให้บริษัทไร่ส้ม ได้โฆษณาเกินเวลา แต่เป็นเช็คที่จ่ายเป็นค่าประสานงานโดยคิดจากเงินค่าโฆษณาร้อยละ 2 ต่อครั้ง
ศาลฎีกา พิจารณาแล้วเห็นว่า ปรากฏข้อเท็จจริงว่า น.ส.มณฑา ธีระเดช (พนักงานบริษัท ไร่ส้ม จำเลยที่ 4) จ่ายค่าประสานงานให้กับนางพิชชาภาเอี่ยมสะอาด (เจ้าหน้าที่ อสมท จำเลยที่ 1) โดยมิได้เป็นการจ่ายแบบรายเดือน แต่จ่ายเป็นรายครั้ง โดยเป็นคำนวณเงินค่าโฆษณาร้อยละ 2
เมื่อพิจารณาจากใบกำกับภาษีของไร่ส้ม สั่งจ่ายนางพิชชาภา เห็นว่า เงินที่ระบุเป็นค่าประสานงานนั้น คิดคำนวณเป็นอัตราค่าโฆษณาร้อยละ 2 โดยก่อนหน้านี้
ไร่ส้มอ้างว่ามีการโฆษณาสินค้าในส่วนที่ไม่ได้เกินเวลา แต่จากการไต่สวนมิได้พบว่าเป็นโฆษณาจากสินค้าอะไรบ้าง ทั้งนี้ฝ่ายจำเลยที่ 2-4 ได้ค้นหาโฆษณาทุกตัวที่มีการจ่ายค่าประสานงานร้อยละ 2 ให้แก่นางพิชชาภา จากผู้สั่งซื้อโฆษณาทั้งหมดจึงรับฟังได้ว่า เงินดังกล่าวมิใช่เงินต่างตอบแทน แต่เป็นเงินค่าประสานงาน ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยประเด็นว่า จำเลยที่ 1 (นางพิชชาภา) กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับทรัพย์สินโดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ขณะที่จำเลยที่ 2-4 (ไร่ส้ม+สรยุทธ+มณฑา) ให้การสนับสนุนหรือไม่นั้น โดยระบุว่า ตามที่ศาลฎีกาวินิจฉัยไปก่อนหน้านี้ว่า เช็คจำนวน 6 ฉบับ ที่ไร่ส้มสั่งจ่ายนางพิชชาภา มิใช่เช็คต่างตอบแทน จึงไม่เข้าข่ายองค์ประกอบความผิดในส่วนนี้ ขณะเดียวกันฟ้องโจทก์ยังคลุมเครือไม่ชัดเจน การที่นางพิชชาภารับเช็คดังกล่าว จึงยังฟังไม่ได้ว่ากระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับทรัพย์สินโดยมิชอบ หรือโดยทุจริต เมื่อนางพิชชาภา (จำเลยที่ 1) ไม่ผิด จำเลยที่ 2-4 (ไร่ส้ม+สรยุทธ+มณฑา) จึงไม่ผิดฐานสนับสนุน
คดีนี้ เดิมที ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาจำคุกนายสุรยุทธและ น.ส.มณฑา 13 ปี 4 เดือน แต่ในชั้นศาลฎีกาพิพากษาโทษลดลงเหลือ จำคุก 6 ปี 24 เดือน ก็เพราะฎีกาฟังขึ้นบางส่วนนั่นเอง
3. สรยุทธบอกว่า “...เงินค่าโฆษณาเกิน 138 ล้าน ผมได้ชำระให้ อสมทไปครบถ้วนแล้วตั้งแต่ยังไม่เกิดคดีความ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า ผมไม่ทำให้
อสมท เสียหาย แต่เมื่อมันชดใช้สิ่งที่เห็นว่าผิดไปแล้วไม่ได้ ผมก็ยอมรับ...”
ในความเป็นจริง เป็นการยอมคืนหลังจากที่ตลอดเวลาที่ดำเนินการมานั้น ไม่เคย “คาย” เรื่องนี้มาก่อนเลย
จนกระทั่ง อสมท มาตรวจพบภายหลัง และมีการสอบสวนกันแล้ว
พูดง่ายๆ ว่า รู้อยู่แล้ว ตัวเองโฆษณาเกินเวลา แต่ก็ไม่ทำเรื่องขอซื้อเวลาโฆษณาเกินเวลานั้นจาก อสมท ตามที่ควรจะทำตามสัญญาที่มีต่อกัน แต่เอาเงินเข้ากระเป๋าบริษัทของตนตลอดมา โดยไม่เคย “คาย” ออกมาเลย
ยอมคืนภายหลังเกือบ 2 ปี
4. สุดท้าย คดีนี้ ศาลฎีกาพิพากษาว่า นายสรยุทธมีความผิด ในฐานให้การสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต
ศาลฎีกาชี้ว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้รายงานค่าโฆษณาเกินเวลาของจำเลยที่ 2 ต่อมาเมื่อสอบปากคำจำเลยที่ 1 ให้การยอมรับว่า จำเลยที่ 2 มีการโฆษณาเกินเวลาจริง รวมถึงใช้ปากกาลบคำผิดในใบคิวโฆษณา แม้ว่าจะไม่มีระเบียบข้อใดระบุว่าจำเลยที่ 1 ต้องรายงานค่าโฆษณาเกินเวลาแก่ผู้บังคับบัญชา แต่เป็นสามัญสำนึกของเจ้าพนักงานของรัฐ เพื่อให้ อสมท ไม่ต้องได้รับความเสียหาย แต่การกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้ อสมท ได้รับความเสียหายกว่า 138 ล้านบาท แม้จะมีการคืนเงินแล้ว แต่ได้รับเงินล่าช้ากว่ากำหนด
นอกจากนี้ ตามทางไต่สวนของโจทก์ เห็นว่า จำเลยที่ 4 ได้สั่งการให้จำเลยที่ 1 ใช้ปากกาลบคำผิดในใบคิวโฆษณาโดยอ้างถึงจำเลยที่ 3 ขอมาให้กระทำการดังกล่าว ขณะเดียวกันหากจำเลยที่ 1 มิได้ผลประโยชน์ตอบแทน ย่อมไม่จำเป็นต้องทำตามที่จำเลยที่ 3-4 ร้องขอ ดังนั้นข้ออ้างของจำเลยที่ 3-4 ที่ว่าไม่ได้
สั่งการจำเลยที่ 1 จึงฟังไม่ขึ้น
ขณะเดียวกันตามทางไต่สวนโจทก์ พบอีกว่า ช่วงเวลาที่จำเลยที่ 1 มิได้รายงานค่าโฆษณาเกินเวลาดังกล่าว เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ได้เช็คจำนวน 6 ฉบับ แม้เช็คดังกล่าวจะมิใช่ค่าตอบแทนดังที่ศาลวินิจฉัยไปแล้ว แต่ถ้าจำเลยที่ 2 มิได้จ่ายเช็คดังกล่าว ก็ไม่มีเหตุผลจำเป็นที่จำเลยที่ 1 ต้องลบใบคิวโฆษณา รวมถึงไม่รายงานค่าโฆษณาเกินเวลาดังกล่าว
ฎีกาของฝ่ายโจทก์ขอให้ศาลพิจารณาลงโทษทุกกรรม เนื่องจากเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 มีหน้าที่จัดทำใบคิวค่าโฆษณา และต้องรายงานค่าโฆษณาเกินเวลาแก่ผู้บังคับบัญชา แต่กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ส่วนจำเลยที่ 2-4 กระทำความผิดฐานสนับสนุน ความผิดสำเร็จแต่ละครั้งคราว จึงเป็นการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน โดยฟ้องโจทก์ให้ลงโทษ 17 กระทง อย่างไรก็ดีศาลชั้นพิพากษาลงโทษ 6 กระทง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงเห็นว่าฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
ส่วนฎีกาของฝ่ายจำเลยขอให้ศาลลงโทษสถานเบา หรือรอการลงโทษนั้น ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 (นางพิชชาภา) กระทำความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ทำให้จำเลยที่ 2 (ไร่ส้ม) มิต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาเกินเวลาให้แก่ อสมท ทำให้ อสมท ขาดรายได้ ถือว่าเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่พนักงานในองค์การของรัฐ ทำให้ อสมท เกิดความเสียหาย และกระทำความผิดอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย
ส่วนจำเลยที่ 2-4 (ไร่ส้ม+สรยุทธ+มณฑา) กระทำความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 3 (นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา) ระบุว่า เคยประกอบคุณงามความดีนั้น ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 3 (นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา)เป็นสื่อมวลชนอาวุโส แต่กลับกระทำความผิดโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง ทั้งที่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่วงการสื่อมวลชน จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1, 3 และ 4
ศาลฎีกาเห็นว่า คำฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน จึงพิพากษาแก้ให้จำคุก น.ส.พิชชาภา กระทงละ 3 ปี รวม 6 กระทง จำคุก 18 ปี แต่ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1/3 คงจำคุก 12 ปี
ส่วนนายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 6 กระทง รวมจำคุกคนละ 12 ปี แต่ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1/3 คงจำคุกคนละ 6 ปี 24 เดือน
ปรับบริษัท ไร่ส้ม จำกัด 1.8 แสนบาท ลดเหลือ 7.2 หมื่นบาท
คำฎีกาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
นี่คือบทสรุปและความจริงที่น่าจะเป็นคำตอบความในใจสรยุทธ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี