ล่าสุด สส.เข้าชื่อกันยื่นเรื่องผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
สืบเนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงว่า การใช้บัตรลงคะแนนของ สส.บางคน ซึ่งมิได้อยู่ในที่ประชุม ลงมติในระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว
กระบวนการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 ขัดหรือแย้งกับหลักการการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 120 หรือไม่?
หากมีปัญหา จะทำให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 ตกไปทั้งฉบับ หรือเฉพาะมาตราที่มีปัญหา?
และกรณีนี้จะถือว่าสภาพิจารณาร่างกฎหมายนี้ไม่เสร็จภายใน 105 วัน ตามมาตรา 143 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญหรือไม่ จะดำเนินการในแต่ละกรณีต่อไปอย่างไร?
ขณะเดียวกัน ก็มีการกล่าวถึงกรณีในอดีต เมื่อปี 2556 ที่มี สส.พรรคเพื่อไทยลงคะแนนแทนกัน ในระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ... หรือกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ว่าศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ เป็นอันตกไปมาแล้ว
1. สำหรับกรณีกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทนั้น ปรากฏคลิปว่า นายนริศร ทองธิราช เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง สส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ทำการเสียบบัตรแทน สส.คนอื่น ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ฯ ในวาระที่สอง
หลังจากนั้น ก็มีการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อประธานรัฐสภา เพื่อร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยให้ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ฯ ดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อไต่สวนด้วย
พยานหลักฐานสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา มีทั้งคลิปวีดีโอการเสียบบัตรแทนคนอื่น จำนวนหลายใบ และพยานบุคคลในเหตุการณ์
อย่างไรก็ตาม นายนริศร ทองธิราช ยังปฏิเสธ โดยชี้แจงว่า ตนเองถือบัตรหลายใบ แต่ไม่ได้ลงคะแนนแทนผู้อื่น
อ้างว่า มีบัตรหลายใบ ประกอบกับตนเองมีพฤติกรรมเสียบบัตรหลายครั้งในการแสดงตน
แต่ศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ว่า ข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนปรากฏว่า สส. แต่ละคนจะมีบัตรฉบับจริงโดยมีรูปภาพเจ้าของบัตรได้เพียงคนละ 1 ใบ และจะขอบัตรสำรองได้อีก 1 ใบ ซึ่งบัตรสำรองจะไม่มีรูปภาพเจ้าของบัตร ส่วนภาพที่ปรากฏในคลิปดังกล่าว บัตรแสดงตนทุกใบของนายนริศร เสียบในเครื่องอ่านบัตรและกดปุ่มแสดงตนหรือลงมติมีรูปภาพปรากฏอยู่ทุกใบ ประกอบกับข้อที่นายนริศรกล่าวอ้างนั้นเป็นพฤติกรรมที่ไม่มีเหตุผล ผิดวิสัยของผู้ที่มีฐานเป็นปวงชนชาวไทยและขัดต่อพฤติกรรมโดยปกติของวิญญูชน ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังได้ ดังนั้น จึงฟังได้ว่า นายนริศร ได้ใช้บัตรแสดงตนและลงมติแทน สส.รายอื่นในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท
2. ในการวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ให้มีอันตกไปทั้งฉบับนั้นศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยชี้ขาดทั้งสองส่วนประกอบกัน ได้แก่ การตรากฎหมายมิชอบ (มีการลงคะแนนแทนกัน) และเนื้อหาสาระสำคัญของกฎหมายมิชอบ เพราะขัดรัฐธรรมนูญร้ายแรงในเรื่องวินัย การเงิน การคลัง งบประมาณฯ
แนวทางคำวินิจฉัย สามารถศึกษาได้จาก “ย่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3 - 4/2557” บางตอน ดังนี้
“...ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว วินิจฉัยแยกเป็นประเด็นดังต่อไปนี้
ประเด็นที่หนึ่ง ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ตราขึ้นโดยถูกต้อง
ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... นาย น. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ได้ใช้บัตรแสดงตนและลงมติแทน สส.รายอื่น อันเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็น สส. ซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ขัดต่อหลักความซื่อสัตย์สุจริตที่ สส. ได้ปฏิญาณตนไว้และขัดต่อหลักการออกเสียงลงคะแนนตามมาตรา 126 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ให้สมาชิกคนหนึ่งมีเพียงหนึ่งเสียงในการออกเสียงลงคะแนน มีผลทำให้การออกเสียงลงคะแนนของสภาผู้แทนราษฎรในการประชุมพิจารณานั้นเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของผู้แทนปวงชนชาวไทยเมื่อกระบวนการออกเสียงลงคะแนนในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จึงถือว่ามติของสภาผู้แทนราษฎรในกระบวนการตราร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
ประเด็นที่สอง ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... มีข้อความขัดหรือแย้ง
ต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด 8 ว่าด้วยการเงิน การคลัง และงบประมาณ หรือไม่
แม้ว่าคำว่า “เงินแผ่นดิน” ไม่ได้มีการกำหนดความหมายไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือกฎหมายใด แต่เมื่อพิจารณาจากนิยามคำว่า “ตรวจสอบ” ในมาตรา 4แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 ประกอบกับความเห็นของพยานบุคคลซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเงิน การคลัง และงบประมาณแล้ว เห็นว่า เงินแผ่นดิน ย่อมหมายถึง เงินของประชาชนทั้งชาติ โดยหมายความรวมถึงบรรดาเงินทั้งปวง ทรัพย์สิน สิทธิ และผลประโยชน์ ที่รัฐเป็นเจ้าของหรืออยู่ในความครอบครองของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเงินงบประมาณ เงินนอกงบประมาณ เงินกู้ เงินอุดหนุน เงินบริจาค หรือเงินช่วยเหลือจากแหล่งในประเทศหรือต่างประเทศอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานรัฐนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินกู้ตามร่างพระราชบัญญัตินี้มีภาระต้องชำระคืนทั้งเงินต้นหรือดอกเบี้ยจากเงินที่ตั้งไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีดังนั้น เงินกู้ตามร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... จึงเป็นเงินแผ่นดิน
การที่ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... บัญญัติให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดการดำเนินโครงการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติการดำเนินโครงการและอนุมัติการจัดสรรเงินกู้ตามโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นผลให้การจ่ายเงินเพื่อดำเนินโครงการต่างๆ ในแต่ละปีงบประมาณไม่ได้ผ่านการตรวจสอบของรัฐสภา รวมทั้งไม่มีการควบคุมตรวจสอบการใช้จ่ายเงินดังกล่าวอย่างชัดเจนดังเช่นการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กรณีนี้จึงเป็นร่างพระราชบัญญัติที่บัญญัติให้การจ่ายเงินแผ่นดินกระทำได้โดยไม่เป็นไปตามที่มาตรา 169 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติไว้ อนึ่ง การดำเนินการเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศสามารถดำเนินการโดยวิธีการอื่นๆ ซึ่งมีผลกระทบหรือมีความเสี่ยงต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นน้อยกว่าการดำเนินการโดยหลักเกณฑ์ของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เนื่องจากโดยวิธีการงบประมาณตามปกติ รัฐสภาสามารถตรวจสอบการดำเนินโครงการของฝ่ายบริหารได้อย่างรัดกุมหรือโดยวิธีการให้เอกชนร่วมลงทุนก็เป็นการป้องกันหรือลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อความมั่นคงทางการเงินการคลังของประเทศได้ในระยะยาวอีกด้วย ไม่ได้เป็นข้อจำกัดถึงขนาดที่จะทำให้ไม่สามารถดำเนินโครงการได้เลย อีกทั้งมิใช่กรณีจำเป็นเร่งด่วน ร่างพระราชบัญญัตินี้จึงขัดหรือแย้งต่อมาตรา 169 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยไม่ได้บัญญัติความหมายของกรอบวินัยการเงินการคลังไว้อย่างชัดเจน แต่เมื่อพิจารณาจากมาตรา 167 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ได้บัญญัติเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณ การใช้จ่ายและการควบคุมงบประมาณและการบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งครอบคลุมเรื่องการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้ กรอบวินัยการเงินการคลังตามหมวด 8 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงหมายความถึง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการวางแผนการเงินการจัดหารายได้ การกำหนดแนวทางในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินการบริหารการเงินและทรัพย์สิน การก่อหนี้ ภาระทางการเงินของรัฐ และการอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งจะต้องใช้เป็นกรอบในการจัดหารายได้ กำกับการใช้จ่ายเงินตามหลักการรักษาเสถียรภาพ การพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และความเป็นธรรมในสังคม
การที่ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... บัญญัติให้นำเงินกู้ตามร่างพระราชบัญญัตินี้ไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ได้โดยไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และกำหนดให้คณะรัฐมนตรีรายงานการกู้เงิน ผลการดำเนินงานและการประเมินผลการดำเนินการตามแผนงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อทราบเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากที่พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณฯ บัญญัติไว้ ทำให้การควบคุมตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณไม่เป็นตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับร่างพระราชบัญญัตินี้ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจำนวนมากถึงสองล้านล้านบาท แต่ไม่มีความชัดเจนในรายละเอียดของแผนงานหรือโครงการที่จะใช้จ่ายเงินอันเกี่ยวกับการวางแผนการเงินการจัดหารายได้เพื่อชดใช้หนี้ หรือการบริหารจัดการกำกับการใช้จ่ายเงิน อีกทั้งเป็นการสร้างภาระผูกพันทางการเงินแก่ประเทศเป็นจำนวนมหาศาลและเป็นระยะเวลายาวนาน โดยไม่มีหลักประกันความเสี่ยงภัยทางการเงินการคลังและระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างเพียงพอ การใช้จ่ายเงินกู้ตามร่างพระราชบัญญัตินี้จึงมิได้ดำเนินการตามกรอบวินัยการเงินการคลังตามหมวด 8 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ร่างพระราชบัญญัตินี้จึงขัดหรือแย้งต่อมาตรา 170 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เมื่อร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งมีข้อความขัดหรือแย้งต่อมาตรา 169 วรรคหนึ่งและมาตรา 170 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญมีผลให้ร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นอันตกไปตามมาตรา 154 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
(นายวสุ สรรกำเนิด/ย่อ นายนพดล เภรีฤกษ์/ตรวจ 23 พฤษภาคม 2557)...”
3. จะเห็นได้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2556 เคยวินิจฉัยร่างกฎหมายกู้เงิน2 ล้านล้านบาท ให้มีอันตกไปทั้งฉบับ เนื่องจากตราขึ้นมาโดยมิชอบ ทั้งยังมีสาระสำคัญขัดแย้งต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญด้วย
ส่วนร่างกฎหมายงบประมาณแผ่นดินฯนี้ จะขัดแย้งหรือไม่ แล้วจะตกไปทั้งฉบับหรือเสียไปบางส่วน? ต้องรอดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบัน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี