ข่าว ส.ส. บางรายของพรรคภูมิใจไทยที่เสียบบัตรแทนกันในการลงมติพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปี พ.ศ. 2563 คือข่าวที่แสดงให้เห็นความฉ้อฉล ไร้เกียรติ และไร้ศักดิ์ศรีอย่างชัดเจนของนักการเมืองไทย ซึ่งเรื่องบัดสีเช่นนี้นับได้ว่าเลวทรามไม่แตกต่างไปจากการทุจริตการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยมาโดยตลอด ซึ่งหลายคนเรียกว่า การซื้อสิทธิ์ขายเสียง และการโกงเลือกตั้ง
หากจะกล่าวกันตามความจริงแล้ว ข่าวเรื่อง ส.ส. ลงคะแนนแทนกัน หรือเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันในสภา เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นและกลายเป็นข่าวเป็นระยะๆ มาโดยตลอด หากจะถามว่า เหตุใดจึงเกิดเรื่องบัดสีเช่นนี้ขึ้นได้ ทั้งๆ ที่ ส.ส. มักจะกล่าวอ้างว่า ส.ส. คือผู้ทรงเกียรติในสภา ก็เห็นจะต้องตอบว่าเป็นเพราะผู้ที่ทำเช่นนั้นเป็นคนไม่มีศักดิ์ศรี และไม่เคารพตนเอง เป็นคนที่มักชอบให้เป็นในเรื่องของการคดโกง ฉ้อฉล
เรื่องกดบัตร หรือเสียบบัตรแทนกันในสภาถือเป็นเรื่องที่เลวร้ายแล้ว แต่ทว่ายังมีเรื่องที่นับว่าอุบาทว์และเลวร้ายยิ่งกว่านั้นอีกคือ การที่มีบุคคลระดับรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งดูแลด้านกฎหมาย และยังมีอดีตเป็นคนสอนกฎหมายในมหาวิทยาลัยให้ความเห็นกับสาธารณะว่าการเสียบบัตรแทนกันที่เกิดเป็นประเด็นข่าวในครั้งล่าสุดน่าจะแตกต่างจากการเสียบบัตรหรือกดบัตรแทนกันในอดีต
อย่างไรก็ตาม สาธารณชนพากันตั้งคำถามว่า การเสียบบัตรหรือกดบัตรแทนกันของ ส.ส. ในสภา ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย ใช่หรือไม่ แล้วยังมีการตั้งคำถามอีกด้วยว่า ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยไปแล้วว่าการกดบัตรหรือเสียบบัตรแทนกันของ ส.ส. ในสภาถือเป็นความผิด ดังนั้นเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องนี้ไปแล้ว ครั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันขึ้นมาอีก ก็จึงต้องถือว่าเป็นความผิดตามคำวินิจฉัยที่เคยมีมา ใช่หรือไม่ หรือรองนายกรัฐมนตรีจะตะแบงแล้วแถไถอ้างว่า จะนับเป็นความผิดได้ก็ต่อเมื่อ ฝ่ายกระทำผิดเป็นคนละพวก คนละฝ่ายกับตน แต่ถ้าหากผู้กระทำพฤติกรรมเช่นเดียวกันเป็นคนฝั่งเดียวกับตนแล้ว ก็ไม่นับเป็นความผิดหากเรื่องเช่นนี้ได้บังเกิดขึ้นในสังคมไทย แล้วถูกปล่อยให้เกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ แล้ว ก็ต้องกล่าวกันตามตรงว่า นี่คือความเสื่อมทรามอย่างที่สุดของสังคมไทย
ส่วนประเด็นที่มีการกล่าวอ้างว่า การเสียบบัตรทิ้งไว้นั้นหากผู้เป็นเจ้าของบัตรมิได้ไหว้วานหรือมอบหมายให้ผู้อื่นเสียบบัตร หรือกดบัตรเพื่อลงคะแนนแทน ก็น่าจะมีความผิดหรือได้รับโทษทัณฑ์ต่างกันกับผู้ที่จงให้ผู้อื่นนำบัตรของตนเองไปเสียบหรือไปกดเพื่อลงคะแนนแทนตนเอง ซึ่งประเด็นนี้หากมองโดยผิวเผินแล้ว ก็อาจจะถือว่าพอจะรับฟังได้ แต่ก็ต้องตั้งคำถามต่อไปว่า แล้วคนผู้เป็นเจ้าของบัตรได้ลืมบัตรทิ้งไว้จริง โดยมิได้มีเจตนาแอบแฝง ใช่หรือไม่ หรือว่าเจ้าของบัตรตั้งใจทิ้งบัตรไว้ในห้องประชุมสภา แล้วอ้างว่าลืมบัตรไว้ แต่หากลืมบัตรไว้จริง แล้วไม่มีเจตนาแอบแฝงหวังให้ผู้อื่นใช้บัตรของตนลงคะแนนแทนแล้ว เจ้าของบัตรก็จะต้องรีบแจ้งให้พรรคการเมืองที่ตนสังกัดรับทราบเรื่อง แล้วขอให้เก็บรักษาบัตรของตนไว้เป็นอย่างดี เพื่อมิให้บุคคลอื่นนำบัตรของตนไปใช้แทนโดยตนเองมิได้สมัครใจ
เมืองไทยนั้นมีปมประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหา และเกิดความแตกแยกในสังคม อันเนื่องมาจากการบังคับใช้กฎหมาย ที่หลายคนวิจารณ์ว่าเป็นการจงใจเลือกปฏิบัติในการใช้กฎหมาย รวมถึงยังมีการตีความเพื่อลากกฎหมายไปในทิศทางอันก่อให้เกิดประโยชน์กับฝ่ายของตน โดยไม่เคารพหลักนิติปรัชญาแต่กลับจงใจใช้กฎหมายเพื่อเล่นงานฝ่ายตรงข้ามกับตน ซึ่งเป็นการทำให้กฎหมายขาดความศักดิ์สิทธิ์ และขาดความเที่ยงธรรม
สังคมใดก็ตามที่จงใจใช้กฎหมายโดยบิดเบือน เพื่อหวังผลให้กฎหมายเป็นเครื่องทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามโดยไม่เคารพหลักนิติปรัชญา และจงใจใช้กฎหมายโดยไม่มีมาตรฐานเดียวกัน สังคมนั้นจะไม่มีวันเกิดความสุขสงบและสันติ แต่จะยิ่งทำให้เกิดความแตกแยกร้าวฉานหนักหน่วงยิ่งขึ้นในสังคมเช่นนั้น อันจะนำไปสู่การเกิดเหตุมิคสัญญีกลียุคในสังคมในที่สุด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี