คอลัมน์ “ข่าวปนคน คนปนข่าว” ผู้จัดการออนไลน์ เผยแพร่เมื่อ 24 ม.ค. 2563 เวลา 05.01 น. ตอนหนึ่งระบุถึงการออกมาเปิดเผยว่ามีการ “กดบัตรแทนกัน” ในการอภิปรายพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ในทำนองว่า นายนิพิฏฐ์อินทรสมบัตร ผู้เปิดเผยนั้น มี “แค้นส่วนตัว” และจะส่งผลให้งบประมาณปี 2563 ต้องสะดุดหยุดลง โดยมีใจความว่า....
“...เรื่อง “เสียบบัตรแทนกัน” ในการโหวต ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ที่ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ”รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแฉว่า “ฉลอง เทอดวีระพงศ์”สส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย ไม่ได้อยู่ในห้องประชุมสภาฯ ระหว่างการลงมติ ซึ่งจากการตรวจสอบของทางเลขาสภาฯ ยืนยันมาแล้วว่า มีการเสียบบัตรแทนกันจริง...และเรื่องนี้ ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ได้ยื่นเรื่องผ่านประธานรัฐสภา ให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความแล้ว
...ถึงตอนนี้ก็ได้แต่รอว่าศาลฯ จะพิจารณา แล้วชี้ว่าอย่างไร ...จะให้ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ตกไปทั้งฉบับ หรือเสียไปเฉพาะมาตราที่มีการโหวตแทนกัน หรือ จะให้หักคะแนนที่จับได้ว่าเป็นการเสียบบัตรแทนกันเท่านั้น
...แต่ที่แน่ๆ คือการใช้งบประมาณปี’63 จะต้องยืดเยื้อออกไป จากแผนเดิมที่รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะเบิกจ่ายกันได้ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งก็ถือว่าช้าแล้ว เมื่อต้องมาสะดุดอย่างนี้ จะยืดออกไปอีกกี่เดือนก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้
...“ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถึงกับนั่งไม่ติด เพราะเมื่องบฯไม่ออก แผนบริหารราชการแผ่นดินต่างๆ ที่วางไว้ ก็จะเสียขบวน รวนเร จนทำเอาหัวร้อนได้ง่ายๆ
...โดยเฉพาะเรื่องงบฯลงทุน ที่มีจำนวนหลายแสนล้านบาท หากทำไม่ได้ ก็จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจให้เลวร้ายลงไปอีก ถ้าไม่มีเม็ดเงินลงไป ก็จะเดือดร้อนกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นภาพใหญ่โดยรวมระดับประเทศ ระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล...เรียกว่า เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า
...ด้านฝ่ายทีมเศรษฐกิจ โดย“เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์รองนายกฯ และ“ขุนคลัง” อุตตม สาวนายน รมว.คลัง ก็ต้องหารือเตรียม “แผนสำรอง” เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามเป้า โดยมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง เตรียมแผนแนวทางต่างๆ ไว้ อาจถึงขั้นต้องใช้ พ.ร.ก.กู้เงินฯ หาก พ.ร.บ.งบประมาณฯ เป็นโมฆะ และต้องใช้เวลาหลายเดือนในการพิจารณาใหม่... แต่ “นายกฯตู่” ดูจะยังไม่ตอบรับไอเดีย พ.ร.ก.กู้เงินฯ จึงแตะเบรกไว้เบาๆ ว่า ยังไม่ถึงเวลา
...นอกจากนี้ มีรายงานข่าวว่า “อุตตม” ที่สวมหมวกทั้ง หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ รมว.คลัง และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ’63 ได้เข้าจับเข่าพูดคุยกับ“เฮียพงษ์” สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ เพื่อหาทางออกกรณีที่ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ อาจถูกตีความว่าโมฆะ...โดยนักการเมืองรุ่นเก๋าอย่าง “สมพงษ์” แนะนำว่ารัฐบาลควรนับหนึ่งใหม่ โดยเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาฯ อีกครั้ง ไม่ควรหาทางซิกแซ็กออกนอกลู่ ต้องทำให้ร่างกฎหมายชอบธรรม ไร้มลทินใดๆ ส่วน สส.ที่เสียบบัตรแทนกัน ก็ให้สอบสวนเอาผิดเฉพาะตัวไปตามกระบวนการ พร้อมให้คำมั่นว่า ฝ่ายค้านพร้อมให้ความร่วมมือ เพื่อผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ให้ผ่านโดยเร็วเพราะรู้ถึงความจำเป็นในการต้องใช้งบประมาณเพื่อบริหารบ้านเมือง แก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน
....จะว่าไปแล้ว การที่ “นิพิฏฐ์” ออกมาแฉเรื่องเสียบบัตรเพื่อโหวตแทนกันนั้น เป็นเรื่องที่สส.ไม่พึงกระทำ เพราะเป็นเรื่อง “ผิด” ...แต่อีกมุมหนึ่ง ไม่ว่าฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาลมองตรงกันว่า การเคลื่อนไหวของ “นิพิฏฐ์” ครั้งนี้ “มีวาระซ่อนเร้น”โดยใช้ความถูกต้อง ชอบธรรมบังหน้า
...ต้องไม่ลืมว่า “นิพิฏฐ์” ในฐานะแม่ทัพภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ต้องมาพ่ายแพ้ให้กับ “นาที รัชกิจประการ” แม่ทัพของพรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ซึ่งภูมิใจไทยปักธงในภาคใต้สำเร็จ ได้สส.ไปถึง 8 ที่นั่ง แถมตัวเขาเองยังเสียที่นั่ง สส.พัทลุง ที่ยึดครองมาหลายสมัยให้กับ “ฉลอง”ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เสียหน้ามาก...
...การเคลื่อนไหวของ “นิพิฏฐ์” จึงถูกมองว่า นำวาระ“ส่วนตัว” หรือ “ส่วนพรรค” มาเล่นการเมือง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อประเทศชาติโดยรวม เพราะมันส่งผลกระทบถึงขั้นทำให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ที่ล่าช้าอยู่แล้ว ยิ่งช้าหนักขึ้นไปอีก
...เห็นแบบนี้แล้ว ก็อดเป็นห่วง “พรรคสีฟ้า” ไม่ได้ เพราะโอกาสที่จะถูกเขี่ยพ้นพรรคร่วมรัฐบาล ตามที่มีข่าวกระเส็น กระสาย ออกมาเริ่มใกล้ความจริงเข้าทุกที
..ทั้งหมดทั้งมวล ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะเรียกว่าเป็นเรื่อง“น้ำผึ้งหยดเดียว” แต่ในยุคโซเชียลฯ ต้องบอกว่า “เจ๊งทุกอำเภอ เพราะเธอคนเดียว” แถมติดแฮชแท็กให้ด้วยว่า #ฉิบหายจริงๆ นะจ๊ะ.”
ผมอ่านบทความนี้แล้ว เห็นถึง “ความฉิบหาย” ของบ้านเมืองรำไรๆ เพราะ “สื่อมวลชน” ไม่เป็นหลักในการยืนยันว่า “การรักษาความถูกต้องเป็นความดี” กลับนิยามคนที่ทำหน้าที่ “ตรวจสอบ” เพื่อรักษา “กระบวนการที่ถูกต้อง” ว่า “เจ๊งทุกอำเภอ เพราะเธอคนเดียว”
เช่นเดียวกับหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่เมื่อวันที่ 21 ม.ค.ที่รัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ รมว.สาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีทีทีมกฎหมายสภาชี้นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ สส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย มีความผิดเสียบบัตรแทนกันว่า ได้เซ็นหนังสือตั้งคณะกรรมการสอบพฤติกรรม สส.แล้วรอผลการสอบก่อน ซึ่งระเบียบของพรรคมีความชัดเจนว่าหาก สส. คนใดทำผิดกฎระเบียบของพรรคก็จะมีมาตรการในการลงโทษ ยืนยันว่าหากทำผิดจริงไม่เลี้ยงเอาไว้อย่างแน่นอน
นายอนุทินกล่าวว่า วันพรุ่งนี้จะมีการประชุมพรรค หากเจอตัวจะต้องตำหนิอย่างรุนแรง ต้องมีหวดกันบ้าง เพราะถือว่าการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นสิ่งสำคัญ ตนในฐานะหัวหน้าพรรคจะกำชับสส. และเข้มงวดให้มากกว่านี้ แต่ในเบื้องต้น นายฉลอง ชี้แจงว่าลืมบัตรไว้ที่สภา และมีภารกิจต้องลงพื้นที่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ สส. มักจะลืมเสียบบัตรคาไว้ แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องไม่ให้ใครมากดบัตรแทน ซึ่งตนเชื่อว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้สั่งให้ใครมากดแทน เพราะต้องทราบถึงโทษ และระเบียบอยู่แล้ว
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ไม่ทราบว่านายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแฉเพิ่มเติมว่า นางนาที รัชกิจประการ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ก็ได้เดินทางไปประเทศจีนด้วย แต่จำได้ว่านางนาทีได้ลาไปต่างประเทศ ทั้งนี้การที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาแฉ จะไม่กระทบความสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาล เพราะทุกคน คงมีน้ำใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย การแข่งขันเป็นเรื่องปกติ ถ้าชนะก็ต้องไม่ประมาท ถ้าแพ้ก็ต้องปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น ไม่ใช่ใช้อารมณ์ส่วนตัว มาหาวิธีแก้มือกัน แต่ทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง และกลับไปเริ่มที่ผลการสอบ
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ อาจมีผลกระทบกับร่างพ.ร.บ.งบฯหรือไม่ เพราะต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ นายอนุทินกล่าวย้ำว่า อยากให้ยึดถือผลประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง อย่าเอาอารมณ์มาทำให้บ้านเมืองเสียหาย
วิเคราะห์ ::
1) ยังไม่ชัดเจนว่า ผลจากการที่มีคนซึ่งไม่ได้อยู่ในสภาแต่กลับมีการร่วมลงมติ (คือนายฉลอง กับนางนาที จากพรรคภูมิใจไทย)ยังไม่รวมคลิปที่ต้องสงสัย ว่า สส.จากพรรคพลังประชารัฐก็อาจกดบัตรแทนคนอื่นด้วย จะส่งผลให้พระราชบัญญัติงบประมาณฯตกไปทั้งฉบับ เพราะกระบวนการลงมติมิชอบ หรือจะมีปัญหาแค่บางมาตรา รอให้ศาลเป็นผู้วินิจฉัย
2) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พ.ศ.2560มาตรา 114 ระบุว่า “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์” -ในกรณีนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ถูกกล่าวถึง ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่?
มาตรา 115 ก่อนเข้ารับหน้าที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกด้วยถ้อยคำ ดังต่อไปนี้ “ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” --ในกรณีนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ถูกกล่าวถึง ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่?
มาตรา 120 วรรค 3 สมาชิกคนหนึ่งย่อมมีเสียงหนึ่งในการออกเสียงลงคะแนน ถ้ามีคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด--สมาชิกหนึ่งคนจึงมีสิทธิเสียบบัตรและกดลงมติเฉพาะตัวเท่านั้นกระทำการแทนผู้อื่นคงไม่ได้
มาตรา 148 ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนําร่างพระราชบัญญัติใดขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยตามมาตรา 81
(1) หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี แล้วให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า
(2) หากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้ส่งความเห็นเช่นว่านั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาทราบโดยไม่ชักช้า
ในระหว่างการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีจะนําร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยมิได้
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และข้อความดังกล่าวเป็นสาระสําคัญ ให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแต่มิใช่กรณีตามวรรคสาม ให้ข้อความที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป และให้นายกรัฐมนตรีดําเนินการต่อไปตามมาตรา 81
3) การออกมาเปิดโปงของนายนิพิฏฐ์ จึงเป็นการกระทำที่ควรได้รับการสรรเสริญ ว่ารักษาความถูกต้องของกระบวนการพิจารณาและลงมติเพื่อผ่านหรือไม่ผ่านกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งไม่ใช้ถูกก่นด่า ตำหนิ เหน็บแนม ว่า “แพ้ไม่รู้จักแพ้” มี “แค้นส่วนตัว”ซึ่งเป็นตรรกะวิบัติ และเป็นเชื้อแห่งความฉิบหายของสภา ที่ไปสร้างค่านิยมที่ผิดว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้กฎหมายผ่าน ไม่ต้องสนใจวิธีการว่ามุจริตหรือทุจริต
4) ต้องชื่นชมนายนิพิฏฐ์ว่าออกมาเปิดเผยได้ทันท่วงที ลองคิดดูสิครับ ถ้านายกรัฐมนตรีนำกฎหมายนี้ขึ้นทูลเกล้าฯ แล้วไปปรากฏความว่ากระบวนการมิถูกต้องในภายหลัง จะดีงามหรือไม่
5) คนที่โกรธนายนิพิฏฐ์ จึงเป็นผู้ที่ “ป่วยทางจริยธรรม” เน้นเอาแต่ได้ เอาแต่ผลลัพธ์ที่ถูกใจ ไม่สนใจวิธีการว่าต้องสุจริต และไม่ส่งผลให้ต้องระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
6) หากสภาเน้นแต่ความเร่งรีบของการออกพระราชบัญญัติงบประมาณ ทีหลังก็ให้เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีออกเองเสียเลยสิ ไม่ต้องให้สภามันตรวจสอบกันก็ได้ แต่เมื่อให้สภาตรวจสอบ สภาเองที่มีหน้าที่ทำให้ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างสุจริต
7) นางนาทีนี่แกช่างเป็นคนขี้ลืมนะครับ ลืมแจ้งบัญชีทรัพย์สินให้ครบถ้วนไปครั้งหนึ่งแล้ว นี่ยังลืมบัตรไว้ในห้องประชุมชนิด “เสียบคา” เอาไว้ได้เลยหรือ เจ้าหน้าที่ไม่มีการเคลียร์ห้องหลังประชุมและก่อนประชุม?
8) พอกันทีสำหรับ “สภาหน้าด้าน” และสภาตะแบง สภาที่ “ไม่สุจริต” พอกันทีสื่อมวลชนที่ตำหนิคนตรวจสอบ แทนที่จะยืนหยัดว่าการตรวจสอบเป็นเรื่องที่ดีงามสูงสุดของสังคมประชาธิปไตย พอกันทีสำหรับ “ความเกรงใจ” พรรคร่วมรัฐบาล และกลัวรัฐบาลจะล่ม หากรัฐบาลมีหลักการทำงานที่เน้นความซื่อสัตย์สุจริต ก็คงไม่ต้องมานั่ง “ตะแบงกันอย่างหน้าด้านๆ” อย่างที่เป็นอยู่นี้ ซึ่งน่าอับอายและน่าขยะแขยงเป็นที่สุด
9) พรรคประชาธิปัตย์เองก็เงียบฉี่ ทั้งๆ ที่เงื่อนไขหนึ่งของการเข้าร่วมรัฐบาลคือ ต้องไม่มีการทุจริต พอมาร่วมรัฐบาลแล้วหย่อนยานเงื่อนไขไปทีละเล็กละน้อย ตั้งแต่การต้องแก้รัฐธรรมนูญมา เหลือแค่ “ศึกษา” แนวทางแก้ไข ครั้งนี้นอกจากไม่หนุนหลังนายนิพิฏฐ์เพื่อยืนหยัดความถูกต้องแล้ว ยังมีพวกหนึ่งในพรรค ด่าทอต่อว่านายนิพิฏฐ์อีกต่างหาก เป็นอะไรกันไปแล้วหรือ?
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ “ลอยตัว” ทั้งๆ ที่เรื่องพรรค์นี้คือหนึ่งใน “รูรั่ว” ที่จะล่ม “รัฐบาลคนดี” ได้ ตั้งแต่แรมโบ้อีสาน ตำรวจจับตัวส่งฟ้องไม่ทัน คดีหมดอายุความ ตั้งแต่ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ หายตัวไป ตำรวจจับไม่ได้ มาประชุมและโหวตในสภาได้ มาจนคดีที่ดินของปารีณา และมาที่การกดบัตรแทนกันนี่ ดูเหมือนเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องกวนใจ แต่หากดูให้ดีๆ มันเป็นเรื่อง “มาตรฐาน” ที่ทำให้แยกได้ง่ายๆ ว่าใครมีหลักการคนดี หรือเป็นแค่คนดีที่พร้อมใช้วิธีของ “คนชั่ว” มาพยุงความอยู่รอด
เด็ดขาดในหลักการที่ถูก ปฏิบัติต่อทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม และทำหมู่คณะของตนให้สะอาด คือการประกาศ“ความดี” ที่แท้จริงครับ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี