นฤนาท ยอดอาจ ผู้สื่อข่าว “แนวหน้า” สายการเมือง ประจำรัฐสภา ได้ติดตามคณะของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ ไปเยือนอินเดียเมื่อเร็วๆ นี้ และมาเล่าสู่กันฟัง ว่า
ประเทศอินเดีย ถือเป็นตลาดการค้าที่มีความสำคัญในระดับโลก มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สูงเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาและจีน แต่ด้วยจำนวนประชากรมหาศาลกว่า 1.2 พันล้านคน และคาดการณ์กัน ว่าในอีก 20-30 ปีข้างหน้า ประชากรของอินเดียจะแซงหน้าเจ้าของสถิติเดิมคือประเทศจีน ทำให้อินเดียยังถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเศรษฐกิจกำลังพัฒนาที่มีรายได้ปานกลางค่อนไปทางต่ำ (Lower-middle-income economy)
อย่างไรก็ดี ความพยายามของรัฐบาลที่นำโดยนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ที่ได้ประกาศว่า จะสร้างอินเดียใหม่ หรือ New India ภายใน ค.ศ. 2022ซึ่งเป็นปีที่อินเดียจะครบรอบ 75 ปีแห่งการประกาศเอกราช ซึ่งจะมีแผนงานที่เน้นการพัฒนาแบบองค์รวม โดยมีการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนพร้อมกับส่งเสริมความเจริญทางเศรษฐกิจ และเน้นใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการพัฒนา ทั้งนี้ ทางรัฐบาลอินเดีย มีความมุ่งมั่นที่จะรักษา ให้ GDP เติบโตร้อยละ 8 ในระหว่างปี ค.ศ.2018-2023 และเพิ่มมูลค่าการลงทุนให้มีสัดส่วนร้อยละ 36ของ GDP เพื่อเป้าหมายที่สำคัญนั่นก็คือ อินเดียมีขนาดเศรษฐกิจ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. 2030
จากความสำคัญดังกล่าวนั่นเอง ทำให้รัฐบาลไทยพยายามที่จะแสวงหาโอกาสในการที่จะนำนักธุรกิจไทย ไปลงทุนในธุรกิจที่เป็นความต้องการของผู้คนที่นั่น ซึ่งการเดินทางของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง นักธุรกิจจากหลากหลายสาขา รวมทั้งสื่อมวลชนเกือบ 120 คน ที่ไปเยือน2 เมืองที่สำคัญของอินเดียคือ
เมืองเบงกาลูรู และเมืองไฮเดอราบัด ระหว่างวันที่16- 20 มกราคม ที่ผ่านมานั้น ถือเป็นการเดินทางไปอินเดียครั้งที่ 2 โดยครั้งแรกเป็นการไปเยือนที่เมืองมุมไบ ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา
โดย รองนายกฯ จุรินทร์ ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากการเปิดกิจกรรมเจรจาการค้าและสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างภาคเอกชน ไทยและอินเดีย ที่เมืองเบงกาลูรู ถึงความสำคัญในการบุกตลาดที่อินเดียอีกเป็นครั้งที่ 2 ว่า ประเทศอินเดียเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ ที่จะเปิดตลาดใหม่ เพราะในอีก 7 ปีข้างหน้าอินเดียมีประชากรเพิ่ม 1,700 ล้านคน ซึ่งอินเดียมีนโยบายแบนพลาสติก ห้ามใช้พลาสติก จึงเป็นโอกาสสำคัญ ที่นักธุรกิจไทยจะส่งออกแป้งมันสำปะหลัง เพื่อนำมาทำเป็นพลาสติกชีวภาพ อันจะสร้างมูลค่าการส่งออกมหาศาลและนโยนาย House for all ชาวอินเดียทุกคนต้องมีบ้าน ซึ่ง 2 นโยบายดังกล่าว เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลอินเดีย ซึ่งจะเป็นลู่ทางในการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง เช่นเฟอร์นิเจอร์ ที่ไทยจะนำไม้ยางพารามาประชาสัมพันธ์ให้คนอินเดียได้รู้จักมากขึ้น จากเดิมที่รู้จักแต่ไม้สักถือเป็นการเปิดตลาดใหม่ที่สำคัญ
จากนั้น คณะของรองนายกฯจุรินทร์ ได้ปฏิบัติภารกิจที่เมืองไฮเดอราบัด ซึ่งเป็นเมืองที่ความทันสมัย เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไอทีและอุตสาหกรรมยาของอินเดีย จนได้รับการขนานนามว่า ไซเบอราบัด(Cyberabad) และ จีโนม วัลเลย์ (Genome Valley) อีกทั้ง ยังกำลังจะมีนโยบายสำคัญคือ การสร้างเฟอร์นิเจอร์ปาร์ค รวมถึงการส่งออกแป้งมันสำปะหลัง เพื่อนำมาใช้ในอุตสาหกรรมยาอีกด้วย ดังนั้นถือเป็นโอกาสอันดีของประเทศไทยที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ส่งไม้ยางพาราเป็นอันดับ 1 ของโลก จะเข้ามาค้าขายไม้ยางพาราที่มีคุณภาพเพื่อสนองความต้องการของนโยบายที่เมืองไฮเดอราบัดมุ่งหวังเอาไว้
ต่อมา อีกหนึ่งวัน ทาง รองนายกฯ จุรินทร์ และคณะ ได้เดินทางไปยัง Reliance Smart Store เพื่อเปิดงานเทศกาลอาหารและผลไม้ไทย ไทยฟู้ดแอนด์ฟรุ้ตฟิเอสต้า (Thai Food and Fruits Fiesta) ซึ่งจัดขึ้นในซูเปอร์มาร์เก็ตรีไลแอนซ์ สาขาหลัก 25 สาขา ใน 3 รัฐคือ รัฐเตลังกานา รัฐทมิฬนาฑู และรัฐอานธรประเทศ เป็นเวลา 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา โดย
ช่วงของการกล่าวเปิดเทศกาลฯ นั้น ก็ได้กล่าวถึงความนิยมผลไม้ไทยของชาวอินเดียว่า ปัจจุบันที่อินเดียมีการนำเข้าผลไม้สดจากไทยหลายชนิด โดยเฉพาะ มังคุด สับปะรดมะม่วง เงาะ ฝรั่ง ลำไย และทุเรียน อันเป็นผลจากการลดอัตราภาษีภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดีย และมีผลไม้อื่นๆ ที่กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวอินเดียเพิ่มขึ้น คือ มะพร้าวน้ำหอม มะขามหวาน ลิ้นจี่ ซึ่งเชื่อว่ายังมีโอกาสขยายตัวได้อีกต่อไปในตลาดอินเดีย
โดย รองนายกจุรินทร์ ได้สรุปถึงการเดินทางในทริปนี้ว่า ภาพรวมเป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถทำสัญญาซื้อขาย รวม 2,785 ล้านบาทต่อปี เป็นการเจาะตลาด 2 เมืองใหญ่ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง โดยมุ่งเป้าไปยังการขายสินค้าที่ตอบสนองกับนโยบายของภาครัฐ เช่น แป้งมันสำปะหลัง สำหรับเป็นวัตถุดิบหลักที่สามารถใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์และพลาสติกที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ตามมาตรการห้ามใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ซึ่งรัฐบาลอินเดียได้ตั้งเป้าหมายว่าจะเลิกใช้ให้ได้ภายในปี 2565 วัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง และไม้ยางพารา เพื่อสนองนโยบาย House for all ชาวอินเดียทุกคนต้องมีบ้าน ซึ่งเป็นนโยบายที่สำคัญทางสังคม ที่จะลดปัญหาคนเร่ร่อนในประเทศที่มีเป็นจำนวนมากด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี