เมื่อวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International: TI) ได้ประกาศผลดัชนีการรับรู้คอร์รัปชัน (Corruption Perception Index: CPI) สำหรับปี 2019 ที่วัดระดับการรับรู้คอร์รัปชันของนักธุรกิจ นักลงทุน และประชาชนที่มีต่อ 180 ประเทศทั่วโลก ซึ่งในรอบนี้ประเทศไทยได้รับคะแนน 36 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 และจัดอยู่ในลำดับที่ 101 ซึ่งเป็นคะแนนเท่าเดิมกับปีที่แล้ว แต่เป็นลำดับที่ลดลงมา 2 ลำดับ ซึ่งหมายความว่า ในขณะที่สถานการณ์คอร์รัปชันของไทยไม่เปลี่ยนแปลง มีอีกอย่างน้อย 2 ประเทศที่ดีขึ้นแซงหน้าเราไป ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเวียดนามที่เป็นคู่แข่งกับไทยในด้านต่างๆ ทั้งด้านการค้า การลงทุน และกีฬา ซึ่งแฟนฟุตบอลทีมชาติจะทราบดีว่า พอถึงนัดแข่งระหว่างไทยกับเวียดนามทีไร เชียร์กันใจหายใจคว่ำเสียทุกที
ตอนนี้ไทยเป็นยังไงบ้าง?
ก่อนอื่นต้องอธิบายเล็กน้อยว่า CPI นี้ มีวิธีการคิดคำนวณมาจากการเอาดัชนีย่อยๆ ที่เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันมารวมกันภายใต้มาตรวัดใหม่ สำหรับคะแนนของไทยมาจากดัชนีย่อยถึง 9 ดัชนี ดังนั้นถ้าเราแยกส่วนดัชนีย่อยมาดู ก็จะเห็นปัญหาและพัฒนาการได้ว่า เรามีพัฒนาการดีขึ้นในส่วนความสามารถในการแข่งขันที่อาจเกิดจากการรับรู้ถึงความจริงจังของทั้งภาครัฐเอกชน และประชาสังคมในการพยายามต้านโกง และนักลงทุนต่างชาติเริ่มเห็นว่าความเสี่ยงในการลงทุนในประเทศลดลงเล็กน้อยซึ่งน่าจะมาจากการเริ่มเปิดเผยข้อมูลภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจมากขึ้น แต่ทั้งนี้ถึงจะมีคะแนนเพิ่มขึ้นบ้าง แต่รวมแล้วก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำอยู่ดี
ส่วนที่ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงคือเรื่องสินบนที่ผู้เชี่ยวชาญยังมองว่าเป็นปัญหาใหญ่ของไทยอยู่ และที่ย่ำแย่ลงจากที่เดิมแย่อยู่แล้ว คือ การใช้ทรัพย์สินของราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตน และการคอร์รัปชันทางการเมือง ซึ่งสามารถตีความคร่าวๆได้ว่า ภาคราชการและการเมืองดูเหมือนจะเป็นจุดอ่อนที่ทำให้การคอร์รัปชันยังคงรุนแรงในประเทศไทยอยู่
ดัชนีนี้เชื่อถือได้แค่ไหน?
มีคนถามผมบ่อยมากว่า องค์กรที่จัดทำดัชนี CPI เขาลำเอียงไม่ชอบไทยหรือเปล่า ทำไมเราออกกฎหมาย ทำโครงการไปมากแค่ไหนก็ดูไม่มีผลกระทบเลย แถมบางปีคะแนนร่วงลงเสียอีก
ซึ่งคำตอบคือ องค์กร TI ไม่ได้ลำเอียงหรอกครับ และถึงเขาไม่ชอบไทย ก็ไปบิดเบือนคะแนนไม่ได้ เพราะอย่างที่ผมอธิบายข้างต้นแล้วว่า CPI เกิดจากการคำนวณดัชนีย่อยๆ อีกหลายดัชนี ซึ่งมาจากหลากหลายองค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรประชาสังคมนานาชาติ โดยที่ TI ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรในกระบวนการเก็บข้อมูลนี้เลย
อีกคำถามหนึ่งคือ แล้วความรับรู้มันสะท้อนสภาพความเป็นจริงได้มากแค่ไหน ซึ่งคำตอบก็คือ ดีที่สุดเท่าที่จะวัดคอร์รัปชันได้ แน่นอนว่าความรับรู้อาจมีปัญหาทำให้ไม่เที่ยงตรงได้ เช่น ปัญหาเสียงสะท้อน คือคนทั่วไปมักจะให้คะแนนปีนี้โดยได้รับอิทธิพลจากคะแนนในปีที่แล้ว ทำให้คะแนนเปลี่ยนแปลงยาก แต่จากที่เห็นคะแนนของเวียดนามที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จาก 31 เมื่อ 5 ปีก่อน จนมาถึง 37 ในปีนี้ ซึ่งน่าจะมาจากกฎหมายที่ทันสมัยและการบังคับกฎหมายที่เคร่งครัดภายใต้นโยบายการล้างโกงที่ชัดเจนของรัฐบาล เช่น ห้ามข้าราชการเกษียณไปรับตำแหน่งในบริษัทเอกชนในวงการที่เคยกำกับดูแลภายในเวลาที่กำหนด และ การขยายอำนาจการตรวจสอบของหน่วยงานต้านโกงไปถึงบริษัทมหาชนและสถาบันการเงิน และคะแนนของอินโดนีเซียที่ค่อยๆ ไต่ขึ้นมาจาก 36 เท่าไทย ในปี 2015 จนไปถึง 40 คะแนน ในปีนี้ซึ่งมาจากการทำงานที่เข้มแข็งและใกล้ชิดประชาชนของหน่วยงานต้านโกงของอินโดนีเซียอันโด่งดัง ที่มีชื่อย่อว่า KPK แสดงให้เห็นว่าการรับรู้คอร์รัปชันสามารถมีพัฒนาการได้จริง ไม่ใช่เพียงเสียงสะท้อนไปมาอยู่ที่เดิม อย่างที่ไทยประสบอยู่
ที่ผ่านมา มีความพยายามพัฒนาดัชนีวัดคอร์รัปชันแบบใหม่อยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะดัชนีเชิงประจักษ์ที่มีหลักฐานสนับสนุนชัดเจน แต่ก็พบว่ามีปัญหาอยู่มากทำให้ผลออกมาคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เช่น ดัชนีที่วัดความโปร่งใสโดยนับสัดส่วนข้อมูลที่เปิดเผย ปรากฏว่าประเทศที่มีดัชนีความรับรู้คอร์รัปชันต่ำมาก (คอร์รัปชันสูง) กลับได้รับคะแนนความโปร่งใสสูง พอตรวจสอบดูจึงพบว่าประเทศนั้นมีการปลอมเอกสารที่เปิดเผยทำให้ตัวเลขสูง ยิ่งกว่านั้นบางแห่งใช้วิธีปั๊มตราว่าเป็นข้อมูลลับจึงไม่นับรวมเป็นคะแนนเต็ม ทำให้เอกสารที่ต้องเปิดเผยเหลือนิดเดียว พอเปิดแค่นั้นคะแนนก็พุ่งสูงเลย กลายเป็นยิ่งสนับสนุนให้โกงเพิ่มขึ้นอีก
ดังนั้นจนถึงปัจจุบัน ดัชนี CPI หรือการวัดระดับการคอร์รัปชันด้วยการรับรู้ภาพลักษณ์จึงยังเป็นที่ยอมรับในทั้งวงการวิชาการและวงการหน่วยงานต้านโกงทั่วโลกอยู่ โดยมีข้อแนะนำเพิ่มเติมว่าควรดูประกอบกับดัชนีและข้อมูลอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย ไม่ใช่ตั้งเป้า CPI เพียงอย่างเดียว เพื่อความชัดเจนในการตีความและความครอบคลุมในความหมายของการคอร์รัปชัน
แล้วเราต้องสนใจดัชนีนี้ด้วยหรือ?
ตามที่ได้อธิบายไปว่า ถึงแม้ CPI จะไม่ใช่ดัชนีที่แม่นยำมาก แต่ก็เป็นที่ยอมรับมากที่สุด และด้วยการที่เป็นที่ยอมรับนี้ จึงทำให้ CPI มักถูกบรรจุอยู่ในรายงานวิเคราะห์ความเสี่ยงการลงทุนสำหรับภาครัฐและเอกชน ทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในประเทศที่ได้คะแนนต่ำ และมองหาโอกาสลงทุนในประเทศที่ได้คะแนนสูงกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องจ่ายสินบนในการดำเนินธุรกิจซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงและไม่จำเป็น ซึ่งนั่นก็สะท้อนความเป็นจริงที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับองค์กรระหว่างประเทศหลายองค์กรที่ให้การสนับสนุนทางการเงินกับประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ก็มักจะใช้ CPI เป็นเงื่อนไขสำคัญในการกำหนดเกณฑ์และพิจารณาความเหมาะสมในการให้กู้ยืมเงิน ซึ่งประเด็นนี้เป็นแผลใหญ่ในใจของหลายองค์กร เช่น ธนาคารโลก (World Bank) ที่เคยให้เงินสนับสนุนเพื่อการพัฒนากับหลายประเทศ โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกา ในช่วงปี 1950-1960 แล้วปรากฏว่าไม่มีการพัฒนาใดๆเกิดขึ้น เพราะเงินไปเข้ากระเป๋าเหล่าผู้นำประเทศหมด จากนั้นมาการมีธรรมาภิบาลจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญและเป้าหมายขององค์กรระหว่างประเทศเหล่านี้เลยทีเดียว
ดังนั้น หากเราจะปฏิเสธไม่สนใจ CPI เพียงเพราะเราไม่เชื่อว่ามันสะท้อนความเป็นจริงของประเทศ ก็คงไม่ใช่ทางที่เหมาะสม เพราะยังมีนักลงทุนและหน่วยงานขนาดใหญ่จำนวนมากยังให้ความสนใจกับประเด็นนี้ผ่านดัชนีนี้อยู่ และไทยยังคงต้องการความร่วมมือและการสนับสนุนจากเขาอยู่ด้วย
รู้อย่างนี้แล้ว เราทำอะไรได้บ้าง?
ข้อดีข้อหนึ่งของ TI คือ เขาไม่ได้ประกาศคะแนนออกมาแล้วจบ เขายังได้ช่วยวิเคราะห์และเสนอแนะแนวทางพัฒนาคะแนนมาให้ด้วย ซึ่งปีนี้ TI สรุปปัญหาหลักที่ทำให้หลายประเทศมีคะแนนต่ำ นั่นคือ การขาดความซื่อตรงทางการเมือง และวิธีแก้ไขปัญหานี้ 3 ข้อ ได้แก่ หนึ่ง ป้องกันไม่ให้อำนาจและผลประโยชน์ตกไปสู่กลุ่มผลประโยชน์น้อยราย ด้วยการเปิดเผยผู้บริจาคเงินเข้าพรรคการเมืองโดยละเอียด โดย TI ชี้ชัดว่ากลุ่มประเทศที่ทำเช่นนี้จะมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 70 และไม่มีประเทศใดได้ต่ำกว่า 50 เลย ส่วนประเทศที่เปิดข้อมูลแบบสแกนลายมือเป็น PDF เอามาให้คอมพิวเตอร์วิเคราะห์ต่อไม่ได้ และมีกฎหมายแต่ไม่บังคับใช้ ก็จะได้คะแนนเฉลี่ยลดหลั่นกันลงมาเรื่อยๆ
ข้อสองคือ พัฒนากระบวนการออกนโยบายสาธารณะและป้องกันการขัดกันของผลประโยชน์ส่วนรวมและส่วนตน (conflicts of interest) โดยการเปิดเผยการใช้จ่ายและงบประมาณของรัฐโดยละเอียดและสร้างกลไกการมีส่วนร่วมจากประชาชน โดยข้อมูลชี้ว่า ประเทศที่มีการจัดสรรงบประมาณแบบเฉพาะเจาะจงไปที่พื้นที่หนึ่ง หรือ ภาคอุตสาหกรรมหนึ่ง จะมีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าประเทศที่มีการจัดสรรงบประมาณแบบกระจายตัว และผู้ที่จะประเมินและมีอิทธิพลต่อการกระจายตัวของงบประมาณนี้ดีที่สุดคือประชาชน โดยการสื่อสารผ่านสื่อสาธารณะที่ตรงไปตรงมา
ข้อสุดท้ายคือ การสร้างกลไกการตรวจสอบที่เหมาะสม โดยรัฐบาลจะต้องให้อิสระฝ่ายตุลาการและหน่วยงานตรวจสอบอย่างแท้จริง และให้อำนาจประชาชนในการตรวจสอบและร้องเรียนสิ่งผิดปกติอย่างปลอดภัย ซึ่งหมายความว่าควรเปิดให้สื่อและภาคประชาสังคมมีบทบาทอยู่ในกลไกการร้องเรียนของภาครัฐด้วย ไม่ใช่เหมือนเดิมที่เพียงให้ประชาชนมาร้องเรียนกับหน่วยงานรัฐแล้วก็ไม่ได้ยินความคืบหน้าใดๆ อีก
วันนี้ถึงแม้คะแนน CPI เราจะเท่าเดิมซึ่งอยู่ในเกณฑ์ต่ำมากอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าไทยจะไม่มีโอกาสพัฒนา ปีที่ผ่านมาเราได้เห็นความพยายามของทั้งรัฐ เอกชน ประชาสังคม และสื่อในการต่อต้านคอร์รัปชันอย่างฉลาดและแข็งขัน มีการผลักดันให้หน่วยงานรัฐเริ่มเปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นระบบด้วยการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) ของ ป.ป.ช. มีการสร้าง ACT Ai ฐานข้อมูลภาครัฐโดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) มีการเปิดเผยการทุจริตอย่างกว้างขวางโดยหมาเฝ้าบ้านและต้องแฉ มีงานวิจัยการต้านโกงระดับแนวหน้าของโลกโดยหลายสถาบันวิจัย เช่น TDRI SIAM-lab มีโครงการที่สามารถรักษาเงินชาติได้จริงแล้วหลายหมื่นล้านบาทอย่างข้อตกลงคุณธรรม มีหลักสูตรต้านโกงสำหรับเยาวชนและโครงการอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นการยืนยันว่าไทยยังคงมีความหวังและความหวังนี้จะเป็นจริงได้เมื่อคนไทยลุกขึ้นมาร่วมต้านโกงอย่างจริงจัง ด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะผ่านโครงการใดโครงการหนึ่งเหล่านี้หรือช่วยคิดพัฒนากลไกใหม่ๆ ขึ้นมาครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี