ถึงคิวพายุลูกใหม่ในไทย กับไวรัสโคโรนา ไวรัสตัวใหม่ของโลก ที่แพร่ระบาดจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ในประเทศจีนไปทั่วโลก ซึ่งในแง่ของการสาธารณสุขแล้ว ถือว่าเป็นเชื้อไวรัสที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อกว่า 6,000 ราย และเสียชีวิตไปแล้วกว่า 100 กว่าคนทั่วโลก ซึ่งในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงนี้ หลายฝ่ายก็มีการตั้งคำถามถึงมาตรการ การดำเนินการป้องกันโรคระบาดของรัฐบาลประยุทธ์ ซึ่งจากอันดับในดัชนีชี้วัดความมั่นคงทางสาธารณสุขทั่วโลก ที่ประเทศไทยได้อันดับ 6 จาก 195 ประเทศทั่วโลก และเมื่อประกอบกับการทำงานภาคปฏิบัติแล้วก็ดูรัดกุม ไม่ว่าจะเป็นการคัดกรองบุคคลเข้าประเทศ การติดตามดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด แต่หลายฝ่ายก็ยังกังวลอยู่
อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค การปิดด่านทั้งทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ ก็เป็นวิธีสากลที่หลายประเทศปฏิบัติ รวมถึงประเทศทั้งต้นทางอย่างจีนเอง ซึ่งก็ก่อให้เกิดผลกระทบในด้านอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะทั้งด้านการท่องเที่ยว การขนส่ง หรือภาคการผลิต ต่อประเทศไทย ที่เป็นประเทศคู่ค้า ซึ่งผลรวมสุดท้ายก็ทำให้เกิดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ อย่างในไทยเอง หากนับปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ทั้งในเรื่องของฝุ่น PM2.5 สงครามทางการค้า ภัยแล้ง และการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาล่าสุด ก็อาจทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปี’63 ขยายตัวได้ต่ำกว่า 2% ต่างจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.8% จากข้อมูลของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ซึ่งก็คงเป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาล โดยเฉพาะนายสมคิด ที่ถือเป็นรองนายกฯ รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจโดยตรง ต้องประคองเศรษฐกิจไปให้ได้ ซึ่งก็ได้มีกระแสข่าวว่าเตรียมออกมาตรการที่เกี่ยวข้องอย่าง ชิม ช้อป ใช้ เฟส 4 เพื่อออกมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจดังกล่าว ที่ก็ต้องดูกันต่อไปว่าจะช่วยดูแลสภาพปัญหาเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด?
ในขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจดูจะชะงักลงไป ด้วยเหตุภาคการท่องเที่ยวที่ซบเซาลงจากการปิดการท่องเที่ยวของจีน ซึ่งฐานหลักเศรษฐกิจไทยที่สำคัญฐานหนึ่งคือภาคการท่องเที่ยว ซึ่งตลาดใหญ่สุดของภาคการท่องเที่ยวไทยคือนักท่องเที่ยวชาวจีน ปัญหาดังกล่าวจึงกระทบเศรษฐกิจภาพรวมทั้งหมดของประเทศทันที การแก้ไขปัญหาดังกล่าวที่พอจะทำได้ นอกจากการออกมาตรการแก้ปัญหาระยะสั้น ก็ต้องอัดฉีดงบประมาณ ตามพ.ร.บ.งบประมาณปี’63 ที่เคยล่าช้ามาแล้วครั้งหนึ่งจากการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้ากว่ากำหนด จนทำให้ต้องยึดกรอบงบประมาณรายจ่ายปี’62 ไปก่อน จนล่าสุดอาจจะล่าช้าซ้ำอีกครั้งหรือไม่?
จากกรณีการกดบัตรแทนกันของ สส. ในการลงมติร่างกฎหมายวาระ 2 ซึ่งยังตกอยู่ในสถานะสุ่มเสี่ยงว่าจะเป็นโมฆะหรือไม่? ซึ่งหากต้องยืดระยะเวลาออกไปเพื่อรอการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจริง ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 2 เดือน ซึ่งหากตัดสินแล้วไม่เป็นโมฆะ รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็มีเวลาใช้จ่ายงบเพื่อดูแลเศรษฐกิจได้เพียง 6 เดือนเท่านั้น หรือที่แย่กว่านั้นคือตัดสินแล้วเป็นโมฆะ ก็เท่ากับว่าฝ่ายรัฐบาล ต้องกลับไปเริ่มต้นกระบวนการจัดทำงบประมาณใหม่อีกครั้ง ที่ต้องใช้เวลาอีก 105 วัน นั่นทำให้ขุนพลทางเศรษฐกิจหลายคนของฝ่ายรัฐบาลดูจะนั่งไม่ติดในทันที? ไม่ว่าจะเป็นนายอุตตม ที่เร่งเตรียมแผนสำรองในกรณีที่ไม่สามารถใช้จ่ายงบประมาณปี’63 ได้ตามกำหนด หรือนายสมคิด ที่มองว่าเป็นประเด็นสำคัญ ที่รัฐบาลไม่ควรทำให้ล่าช้า หรืออย่างน้อยให้ล่าช้าน้อยที่สุดเพื่อป้องกันผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
แต่ในช่วงจังหวะสำคัญที่รัฐบาลประสบปัญหาต่างๆ นี้เอง เมื่อหันมามองการขยับตัวของฝ่ายค้าน ก็ดูรูปเกมจะตกลงไปหรือไม่? ไม่ว่าจะประเด็นในกระแสปัจจุบันอย่างไวรัสโคโรนา ที่คุณหญิงสุดารัตน์ ประธานยุทธศาสตร์จากพรรคเพื่อไทย ก็ไม่พลาดที่จะออกมาเล่นประเด็นดังกล่าว โดยยกเอาผลการทำงานควบคุมโรคระบาดของโรคซาร์ส และหวัดนก ในสมัยที่ตัวเองเป็น
รมว.สาธารณสุข มาประชาสัมพันธ์? แต่ก็อาจถูกท้วงติงหรือไม่ว่าไม่ได้เสนอแนวทางการทำงานที่ใหม่กว่าเดิม? อีกทั้งประเด็นเรื่องไวรัสโคโรนา ยังเป็นเรื่องที่ต่างกรรมต่างวาระกับยุคก่อน ที่ปัจจุบันนี้ปัจจัยสภาพแวดล้อมหลายอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว หรือประเด็นของน.อ.อนุดิษฐ์ เลขาฯ พรรคเพื่อไทย ที่ออกมาเล่นประเด็นการเสียบบัตรแทนกัน ซึ่งนอกจากการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลแล้ว เอาเข้าจริงก็ยังดูไม่มีทีเด็ดอะไรอย่างที่ประชาชนคาดหวังไว้แต่แรกใช่หรือไม่?
หากจะว่าตามความคาดหวังของประชาชนต่อฝ่ายค้านแล้ว สิ่งหนึ่งที่หลายคนจับตาและให้ความสนใจคือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งเมื่อดูจากสถานการณ์ภายในฝ่ายค้านเอง ก็น่าเป็นห่วงว่าจะทำผลงานออกมาได้ตามที่ประชาชนคาดหวังหรือไม่? หลัง นพ.ชลน่าน สส. จากพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า ในมุ้งฝ่ายค้านเองก็ยังตกลงกันไม่ลงตัวว่าจะยื่นซักฟอกกี่คน และใครบ้าง อีกทั้งยังเห็นต่างกันกับพรรคร่วมที่ต้องการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล แต่พรรคเพื่อไทยเองต้องการที่จะพุ่งเป้าไปที่ตัวนายกฯประยุทธ์ โดยตรง ซึ่งในสถานการณ์ภายในที่ยังดูระส่ำนี้ ภายนอกก็มีกระแสข่าวที่ดูจะค้านสายตาประชาชน อย่างการที่นายอุตตม รมว.คลัง มีชื่อติดถูกซักฟอกด้วย ทั้งที่เป็นมือเศรษฐกิจสำคัญ ที่ประคองสถานการณ์อยู่ในตอนนี้
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวอาจกลายเป็นเข้าทางนายอุตตมหรือไม่? ที่อาจจะใช้โอกาสดังกล่าว เป็นเวทีในการแสดงผลงานทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา อย่าง ชิม ช้อป ใช้ และ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่สุดท้ายแล้วอาจจะกลายเป็นคุณแก่ฝ่ายรัฐบาลเองหรือไม่?
นอกเหนือจากประเด็นทางด้านเศรษฐกิจที่อาจจะเป็นจุดโจมตีรัฐบาลประยุทธ์ อีกสิ่งหนึ่งที่บรรดานักวิเคราะห์มองว่าต่อไปอาจจะเป็นจุดอ่อน ที่ทำให้รัฐนาวาของ พล.อ.ประยุทธ์รั่ว ก็คือ กระบวนการคำนวณ สส. จากระบบบัญชีรายชื่อที่เอาแน่เอานอนยังไม่ค่อยได้ ดังที่เห็นกรณีล่าสุดที่ กกต. คำนวณคะแนน สส. บัญชีรายชื่อใหม่ จากการที่นายชาติชาย วรพิพัฒน์ผู้สมัคร สส. จันทบุรี เขต 2 ของพรรคประชาธิปัตย์ ถูกเพิกถอนสิทธิ จนทำให้เสียง สส. จากพรรคประชาธิปัตย์ลดลง 1 เสียง ไปเพิ่มให้พรรคไทรักธรรม ซึ่งจากความไม่แน่นอน คาดเดาได้ยาก ทำให้เสียงในสภาฯ สามารถพลิกไปมาได้เสมอ ซึ่งจะส่งผลต่อเสถียรภาพภายในขั้วรัฐบาลต่อไปหรือไม่? ต้องตามดูกันต่อไป
“...ผู้เป็นแม่ทัพ ต้องถือความปลอดภัยของชาติเป็นสำคัญ...”
สุมาอี้ จากเรื่อง สามก๊ก (1994)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี