เมื่อ บุช จูเนียร์ เข้ามาบริหารประเทศต่อจากคลินตันในปี 2001 ยอดสะสมหนี้สาธารณะได้อยู่ที่ 5.8 ล้านล้านดอลลาร์โดยแปดปีของบุช จูเนียร์ ได้ก่อหนี้สาธารณะเพิ่มอีก 6.1 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้ในปี 2009 ปีที่โอบามาเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากบุชน้อย ยอดหนี้ของรัฐบาลสหรัฐกลายเป็น 11.9 ล้านล้านดอลลาร์
ระยะแปดปีของบุชน้อย ได้สร้างภาระหนี้ให้กับสหรัฐฯถึง 6.1 ล้านล้านดอลลาร์นั้นมาจากหลายสาเหตุ เช่น การคืนเงินภาษีให้กับชาวอเมริกันทันทีในปีแรกที่เข้ามาบริหารประเทศตามที่ได้หาเสียงไว้ตามสไตล์ของพรรครีพับลิกัน ซึ่งทำได้เพียงปีงบประมาณเดียวก็เกิดเหตุการณ์ 9/11 พร้อมๆ กับที่ฟองสบู่ในภาคธุรกิจเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนตที่เฟื่องฟูในยุคคลินตันเริ่มแตก หลังจากนั้นบุชน้อย ก็ลากประเทศเข้าไปสงครามกับอัฟกานิสถานและอิรักตั้งแต่ปี 2003
แค่นั้นยังไม่พอในปี 2005 เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ พายุเฮอริเคนกระหน่ำรัฐทางใต้ของประเทศทำให้คนตายไปเกือบสองพันคน ชาวอเมริกันกว่าแสนไม่มีที่อยู่อาศัย บ้านเรือนพังวินาศสันตะโร รัฐบาลต้องหาเงินมาเยียวยาสำหรับสิ่งเหล่านี้ ตบท้ายด้วยวิกฤติซับไพรม์ในปี 2007 หนึ่งปีก่อนที่บุชน้อยจะอำลาทำเนียบขาวไป รัฐบาลสหรัฐต้องเอาเงินภาษีชาวอเมริกันเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ไปอุ้มสถาบันการเงินใน Wall Street เพื่อไม่ให้ระบบการเงินสหรัฐล้มละลาย
วิกฤติซับไพรม์เกิดต่อเนื่องมาในรัฐบาลโอบามาสมัยแรก (2009-2012) ซึ่งได้สร้างหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอีก 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้ยอดหนี้สาธารณะกลายเป็น 14.3 ล้านล้านดอลลาร์เพราะเอาเงินไปพยุงภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่นอกเหนือจากสถาบันการเงินไม่ให้ล้มละลาย เช่น รถยนต์ (General Motor),ธุรกิจประกันภัย (AIG)
ในสมัยที่สองของรัฐบาลโอบามา ระหว่าง ปี 2013 ถึง 2016รัฐบาลสหรัฐได้ก่อหนี้เพิ่มอีกจาก 14.3 มาอยู่ที่ตัวเลขประมาณ 19 ล้านล้านดอลลาร์ เพราะเอาเงินไปใช้จ่ายในโครงการสวัสดิการต่างๆ เช่น โครงการประกันสังคม โครงการประกันสุขภาพต่างๆ หรือที่เรียกกันว่า Obama-care ตามแนวทางของพรรคเดโมแครต
มีนาคม 2017 เมื่อทรัมป์เริ่มเข้ามาบริหารประเทศได้ยังไม่ทันสองเดือนดี ก็ออกกฎหมายเพื่อขยายเพดานการก่อหนี้สาธารณะเพิ่มอีกเป็นจำนวน 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ และอีก 2.1 ล้านล้านดอลลาร์ ใน 2 ปีต่อมาเมื่อมีนาคม 2019 ทำให้ตอนนี้รัฐบาลสหรัฐมีเพดานการก่อหนี้สาธารณะได้เป็นจำนวนถึงประมาณ 24.1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่เมื่อพฤศจิกายนที่ผ่านมายอดหนี้สาธารณะของสหรัฐก็พุ่งขึ้นถึงระดับ 23 ล้านล้านดอลลาร์(ขณะที่ปัจจุบัน ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะประมาณ 2.3 แสนล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ภายใน 9 เดือนจากประมาณ 22 ล้านล้านดอลลาร์ ในเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกัน
กล่าวได้ว่า รัฐบาลทรัมป์บริหารงานมา 3 ปีก่อหนี้ไปประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์ เฉลี่ยแล้วปีละเกือบ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปชดเชยการขาดดุลงบประมาณเพราะการจัดเก็บภาษีที่น้อยลงอันเนื่องมาจากนโยบายลดหย่อนผ่อนปรนทางด้านภาษีต่างๆ ตามสไตล์ของพรรครีพับกัน เช่น การลดภาษีนิติบุคคลจาก 35% ลงเหลือ 21% ซึ่งทำให้เงินส่วนหนึ่งจากตรงนี้ไหลถ่ายโอนไปสู่การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ ทำให้ดัชนีเพิ่มสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนไปสร้างสถิติสูงสุดที่ประมาณ 29,348 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา ก่อนที่จะขยับปรับตัวลงมาตลอดทั้งสัปดาห์ที่แล้ว อันเนื่องมากจากปัจจัยเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดัชนีหุ้นที่พุ่งขึ้นเกือบสามหมื่นจุดนั้น ไม่ได้เป็นการบ่งบอกว่าราคาหุ้นทุกตัวในตลาดหลักทรัพย์ สหรัฐนั้นเป็นไปตามพื้นฐานแห่งศักยภาพในการผลิตของบริษัทนั้นๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว หุ้นหลายๆ ตัวในนั้น เป็นหุ้นประเภทที่ถูกเรียกว่า Waterd stock หรือหุ้นซึ่งมีราคาที่ถูกผลักดันให้มีมูลค่าสูงกว่าพื้นฐานความเป็นจริง
Watered stock เป็นคำแสลง (slang) หรือ ภาษาตลาด ที่รู้จักกันดีในชุมชน ชาวตลาดวอลล์สตรีท(Wall Street)ว่าคือ หุ้นปั่น อันมีที่มา-ที่ไปจากเรื่องราวของนาย Daniel Drew (his+story = history of Daniel Drew)
Daneil Drew ได้ชื่อว่าเป็นนักปั่นหุ้นรายแรกๆ ในตลาดหุ้นอเมริกันโดยก่อนหน้าที่จะมาเริ่มประสบความสำเร็จกับอาชีพค้าหุ้นในทศวรรษที่ 1850s (ช่วงรัชกาลที่ 4) Drew มีอาชีพเป็นโคบาลมาก่อน ต่อมาจากเพียงแค่รับจ้างต้อนฝูงวัว Drew เริ่มขยับขึ้นมาค้าขายวัวด้วยตัวเอง แต่วัวจากฟาร์มของ Drew นั้นถูกทำให้อ้วนพีมีน้ำหนักด้วยการขุนให้มันกินน้ำเยอะๆ ก่อนที่จะเอาไปชั่งขายเพื่อที่จะได้กำไรมากๆ อันหาได้มาจากน้ำหนักที่แท้จริงของวัวแต่ละตัวไม่
ในช่วงปี 1868-1868 (ช่วงรัชกาลที่ 5) Drew ร่วมกับเพื่อนอีกสองคนช่วยกันใช้เทคนิค watered stock ปั่นหุ้น Erie Railroad บริษัทสร้างทางรถไฟยักษ์ใหญ่ในสหรัฐขณะนั้น เพื่อขายให้กับ Cornelius Vanderbilt มหาเศรษฐีเจ้าของกิจการสร้างทางรถไฟและการขนส่งสินค้าเกือบทั่วประเทศสหรัฐ ที่ต้องการเข้าครอบครองกิจการของบริษัท Erie Railroad แต่อีก 2 ปีต่อมา Drew ก็ถูกเพื่อนสองคนดังกล่าว ทรยศหักหลังด้วยการถูกหลอกให้ซื้อ watered stock ของ Erie Railroad เช่นเดียวกับที่เขาเคยหลอก Vanderbilt ทำให้อีก 6 ปีต่อมา Drew กลายเป็นบุคคลล้มละลาย และตายอีก 2 ปีถัด มาในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว
กลับมาที่ปัจจุบัน ปี 2020 ในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่าง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์กับหนี้สาธารณะของสหรัฐ ในปัจจุบันอันถือเป็นความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนเป็นอย่างมากเพราะมีเครือข่ายตัวแปรที่เกี่ยวข้องโยงใยอยู่จำนวนมหาศาลและมีความเป็นพลวัตที่เคลื่อนไหวอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในทางวิทยาศาสตร์...ลักษณะของความสัมพันธ์ดังกล่าว เรียกว่า “ความไร้ระเบียบ” (Chaos) แต่ความไร้ระเบียบในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความยุ่งเหยิงในความหมายทั่วๆ ไป แต่หมายถึงสิ่งที่ยากมากที่จะคาดเดา เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับความแน่นอนของสิ่งต่างๆ ณ เวลานั้นๆ
แต่อย่างไรก็ตาม การเดินทางของสองตัวเลขนี้ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเมืองอเมริกาสองร้อยกว่าปีมานี้ทำให้นึกถึงพุทธวรรคบทหนึ่งที่กล่าวว่า “แม้เหรียญกษาปณ์ตกมาดั่งห่าฝน ก็มิทำให้กามชนอิ่มในกาม”
ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี