ข่าวลือข่าวลวงเรื่องไวรัสโคโรนาแพร่ระบาดในไทย คือตัวการทำลายประเทศไทยให้ย่อยยับและบรรลัยหนักหน่วงยิ่งกว่าตัวเชื้อไวรัสเสียอีก
น่าสมเพชสังคมไทยเสียจริงๆ เพราะเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยข่าวลือ สังคมใดก็ตามที่เต็มไปด้วยข่าวลือ ย่อมแสดงให้เห็นชัดเจนว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของสังคมนั้นเป็นผู้โง่เขลา เบาปัญญา ยิ่งสมาชิกของสังคมเป็นผู้เบาปัญญามากเท่าไร สังคมนั้นก็ยิ่งใกล้ถึงกาลล่มสลายมากขึ้น และเร็วขึ้นเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าวิตกมากไปกว่านั้นคือ หากประเทศใดที่ผู้บริหารประเทศเป็นคนด้อยปัญญา สิ้นไร้สติ เพราะดีแต่ตื่นตูมตื่นเต้นไปกับข่าวลือ จนไม่สามารถประคับประคองเหตุการณ์ให้ค่อยๆ ทุเลาเบาบางไปได้แล้ว ประเทศนั้นจะยิ่งพบกับความย่อยยับได้ง่ายและเร็วขึ้น
นับตั้งแต่ช่วงวันส่งท้ายปีเก่า 2562 ถึงช่วงวันต้อนรับปีใหม่ 2563 โลกใบนี้ก็ได้ปรากฏข่าวว่ามีผู้ป่วยด้วยโรคปอดอักเสบชนิดรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุของการป่วยว่ามาจากอะไร เพียงแต่พบว่าผู้ป่วยอยู่ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ซึ่งอยู่ทางตอนกลางของประเทศจีน แต่หลังจากเพียง 2-3 วัน ทางการก็ระบุว่าเชื้อโรคนี้มาจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และระบุด้วยว่าโรคนี้สามารถแพร่ระบาดจากคนสู่คนได้หลังจากนั้นก็มีข่าวว่าทางการของประเทศไทยเริ่มให้คัดกรองนักเดินทางท่องเที่ยวที่มาจากเมืองอู่ฮั่น เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคนี้
ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีข่าวปรากฏในประเทศต่างๆ หลายประเทศว่าพบผู้ติดเชื้อโรคนี้ และป่วยเป็นโรคปอดอักเสบรุนแรง แล้วข่าวเรื่องผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ในประเทศต่างๆ ก็ปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ จนกระทั่งองค์การอนามัยโลก (World Health Organization) ได้ประกาศให้โรคปอดอักเสบรุนแรง อันเกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนาเป็นโรคร้ายแรงของมนุษยชาติ
จากข้อเท็จจริงที่คนไทยทุกคนจำเป็นจะต้องตั้งสติให้มั่น แล้วเลิกตื่นตูม ก็คือโรคไวรัสชนิดนี้สามารถรักษาให้หายได้ หากผู้ป่วยปฏิบัติตนในการดูแลตัวเองเป็นอย่างดี โดยไปพบแพทย์ และกินยารักษาโรคตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ขอย้ำว่าโรคนี้รักษาให้หายได้ แต่โรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้นั้นคือโรคไร้สติ สิ้นคิด สิ้นปัญญา และโรคเชื่อข่าวลือ ตราบใดก็ตามที่ยังมีคนยังขาดสติ โรคเชื่อข่าวลือ และโรคแพร่กระจายข่าวลือจะไม่มีวันหมดไปจากสังคมนั้นๆ
องค์การอนามัยโลกระบุชัดว่า โคโรนาไวรัส หรือ CoV คือเชื้อไวรัสในกลุ่มใหญ่ที่เป็นต้นเหตุของความเจ็บป่วยที่เริ่มตั้งแต่อาการไข้หวัดธรรมดา (common cold) ไปจนกระทั่งถึงโรคที่รุนแรง เช่น Meddle East Respiratory Syndrome (MERS-CoV) หรือโรคเมอร์ส และโรค Severe Acute Respiratory Syndrome (SARS-CoV) หรือโรคซาร์ส จนกระทั่งถึงโรค A novel Coronavirus (nCoV) หรือโรคโคโรนาไวรัส ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งหลายคนเรียกว่าโรคปอดอักเสบรุนแรง หรือโรคปอดอักเสบอู่ฮั่น ซึ่งเป็นโรคชนิดใหม่ที่เพิ่งอุบัติในหมู่มนุษย์
อาการป่วยของโรคปอดอักเสบอู่ฮั่นจะแสดงออกดังนี้ มีไข้ ไอ หายใจถี่ และหายใจได้ยากลำบาก และเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคปอดอักเสบหรือปอดบวม (pneumonia) และทำให้ป่วยเป็นโรคซาร์ส โดยผู้ป่วยที่มีอาการหนักจะเกิดปัญหาไตล้มเหลวจนนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด ดังนั้นหากใครก็ตามที่เริ่มมีไข้ และมีอาการไอ ก็จะต้องรีบไปพบแพทย์โดยทันทีไม่ควรปล่อยไว้ และไม่ควรหายซื้อยาไปรับประทานเอง เพราะอาจจะทำให้รักษาโรคให้หายขาดได้ยากขึ้น
ข้อแนะนำในการป้องกันการติดโรคนี้คือ ล้างมือบ่อยๆ เมื่อไปสัมผัสกับสิ่งที่เชื่อว่าไม่สะอาด ปิดปากและจมูกด้วยผ้าปิดปากอนามัยรวมถึงเมื่อเวลาไอหรือจามต้องปิดปากและจมูกด้วยผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิสชู โดยไม่ไอหรือจามโดยไม่ปิดปากและจมูก และเมื่ออยู่ใกล้กับผู้คนเป็นจำนวนมากๆ เช่น ในสถานที่ที่มีผู้คนอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมากๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด โรงภาพยนตร์ที่มีคนแน่นโรงรถเมล์ รถไฟฟ้า และเรือโดยสารที่มีคนจำนวนมากเบียดเสียดกันอยู่ต้องปิดปากและจมูกด้วยผ้าปิดปากอนามัย หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่คุณไม่ได้เลี้ยงดู หรือสัตว์ที่ไม่สะอาด งดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ดิบหรือปรุงไม่สุกสมบูรณ์ รวมถึงต้องใช้ภาชนะสำหรับใส่อาหารที่สะอาดถูกสุขลักษณะ และใช้ช้อน ส้อม มีด ตะเกียบ ที่ล้างสะอาดเท่านั้น ขอย้ำว่า ไม่มีใครแนะนำว่าคนปกติที่ไม่เจ็บไม่ป่วยจะต้องขังตัวเองอยู่แต่ในบ้าน โดยไม่ออกไปติดต่อซื้อขายหรือทำธุรกิจใดๆ กับใคร
แพทย์ยืนยันแล้วได้ว่าโรคปอดอักเสบอันเกิดจากเชื้อโคโรนาไวรัสนั้นสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา แต่ก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุใดจึงเกิดข่าวลือข่าวเท็จเรื่องเชื้อโรคโคโรนาไวรัสแพร่กระจายไปอย่างมากมายในสังคมไทย จนทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยเกิดอาการราวกับคนสติแตก แต่ที่น่าตกใจมากยิ่งไปกว่านั้นคือมีคนบางคนที่เป็นเสมือนผู้นำความคิดในสังคมไทยกลับลงข้อความอันไม่น่าจะเป็นความจริงในอินสตาแกรมของตน และลงในโซเชียลมีเดียอื่นๆ ด้วย ทั้งๆ ที่เรื่องที่ลงในโซเชียลมีเดียนั้นเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์แต่อย่างใด
นี่แสดงให้เห็นว่าคนบางจำพวกในสังคมไทยมิได้ต้องการให้สังคมไทยเกิดความสงบสุข และมิได้ต้องการให้คนไทยเกิดความสงบระงับโดยแท้จริง เพราะได้แสดงตัวให้สาธารณชนได้ประจักษ์ว่าตนเองคือผู้ปล่อยข่าวเพื่อให้สังคมไทยเกิดความวุ่นวาย เช่น ข่าวว่าคนไทยในเมืองอู่ฮั่นกำลังจะอดตาย ซึ่งเรื่องนี้หาได้เป็นความจริงไม่ เพราะคนไทยและคนอื่นๆ ในอู่ฮั่นยังมีข้าวปลาอาหารกิน แม้ร้านขายอาหารส่วนใหญ่จะปิดให้บริการ แต่ก็ยังคงมีการค้าขายข้าวของกันอยู่ มิได้หมายความว่าเมืองอู่ฮั่นปิดสนิทจนกลายเป็นเมืองร้าง
มีสิ่งที่น่าสังเกต และน่าตั้งคำถามอีกประการหนึ่งคือ รัฐบาลไทยเตรียมพร้อม และสามารถรับมือปัญหาข่าวโคโรนาไวรัสได้ดีมากน้อยเพียงใด เพราะเท่าที่ปรากฏนั้น รัฐบาลไม่สามารถทำให้คนส่วนใหญ่ของสังคมไทยเชื่อมั่นได้ว่ารัฐบาลสามารถจัดการกับปัญหาการแพร่ระบาดโรคนี้ได้อย่างแท้จริง เพราะยิ่งนับวันยิ่งปรากฏว่าคนส่วนมากในสังคมไทยเชื่อข่าวลือข่าวลวงมากกว่าข่าวที่รัฐบาลเป็นผู้ให้
น่าอัศจรรย์ใจมากที่รัฐบาลไทยไม่สามารถรับมือกับโรคไวรัสชนิดนี้ได้ แต่กลับดูเสมือนตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในการข่าว ทั้งๆ ที่รัฐบาลมีเครื่องมือมากมายสำหรับใช้สื่อสารกับประชาชนได้ตลอดเวลาเช่น มีโทรทัศน์และวิทยุรวมการเฉพาะกิจ และมีสถานีโทรทัศน์วิทยุอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ วิทยุของกรมประชาสัมพันธ์ ของ อสมท และของกองทัพต่างๆ รวมถึงสถานีวิทยุของตำรวจ นอกจากนั้นยังมีสถานีโทรทัศน์อีกมายมายที่รัฐบาลสามารถใช้เผยแพร่ข่าวสารที่ถูกต้องให้ประชาชนรับทราบได้ แต่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นว่ารัฐบาลคือฝ่ายที่ถูกข่าวลวง ข่าวเท็จโจมตีจนทำให้เสียรูป เสียความน่าเชื่อถือ
ดูเสมือนว่ารัฐบาลกำลังร้อนรนจนไม่สามารถเก็บอาการไว้ได้ ยิ่งรัฐบาลร้อนรนมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลลดน้อยลงไปเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เห็นสาธารณชนเห็นว่ารัฐบาลร้อนรนจนเสียรูปคือ เรื่องนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปจากประเทศไทย จนทำให้เกิดคำถามว่าทำไมรัฐบาลไทยจึงไม่ใช้โอกาสนี้สร้างความมั่นอกมั่นใจให้กับคนไทยและชาวโลกรับรู้ว่า ประเทศไทยสามารถรับมือกับการแพร่กระจายเชื้อโคโรนาไวรัสได้ ทำไมรัฐบาลไทยไม่ประกาศให้คนไทยรับรู้ว่าโรคนี้รักษาให้หายขาดได้ หากผู้ป่วยดูตัวเองอย่างดี และไปพบแพทย์เพื่อรักษาโรคให้ทันเวลา ทั้งๆ ที่การแพทย์และการสาธารณสุขของไทยมีประสิทธิภาพในระดับที่นานาชาติให้การยอมรับ แต่คนที่ไม่ยอมรับก็คือคนไทยบางกลุ่มที่มีเจตนาบ่อนทำลายชาติไทย แล้วก็ยังมีคำถามตามมาอีกว่า ทำไมรัฐบาลจึงปล่อยให้คนบางกลุ่มบางพวกจงใจปล่อยข่าวเท็จเรื่องโคโรนาไวรัสได้ตลอดเวลา จนมีคำถามว่ารัฐบาลไม่มีปัญญาสืบหารือว่าใครคือต้นตอปล่อยข่าวลือเพื่อหวังสร้างความโกลาหลให้เกิดในสังคม
ยังมีประเด็นคำถามอีกมากมายไปถึงรัฐบาล อาทิ การที่นักท่องเที่ยวจีนหดหายไปจากประเทศไทยเพราะข่าวเรื่องโคโรนาไวรัส จะทำให้รัฐบาลต้องกลับมาเร่งทบทวนนโยบายด้านการท่องเที่ยวของไทยได้แล้วหรือยัง โดยเฉพาะนโยบายชนิดที่เอาไข่ทั้งหมดไปใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว ครั้นเมื่อตะกร้าตกลงสู่พื้น ไข่ทั้งหมดจึงแตกเสียหาย ไม่สามารถทำไปใช้ประโยชน์ได้
เท่าที่สาธารณชนเฝ้าสังเกตดูนั้นได้พบว่า รัฐบาลไทยดูเสมือนวิตกกังวลกับเรื่องรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนที่สูญหายไปในยามนี้ แล้วยังดูเสมือนว่ารัฐบาลจะคงเน้นการแสวงหารายได้จากนักท่องเที่ยวจีนอีกต่อไป โดยไม่พยายามจะแสวงหารายได้จากแหล่งอื่นๆ หรือจากกิจกรรมทางธุรกิจจากแหล่งอื่นๆ เพื่อใช้ทดแทนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน ทั้งๆ ที่รัฐบาลควรจะต้องใช้โอกาสนี้ปรับเปลี่ยนแนวนโยบายการหาเงินเข้าประเทศด้วยวิธีการใหม่ๆ แต่ก็ยังไม่พบไม่เห็นว่ารัฐบาลจะมีแนวทางอื่นแต่อย่างใด
แต่ที่มากไปกว่านั้นคือ สาธารณชนเห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถจัดการกับผู้จงใจเผยแพร่ข่าวลือและข่าวเท็จเรื่องเชื้อโคโรนาไวรัสได้ ทั้งๆ ที่รัฐบาลจำเป็นต้องจัดการกับผู้จงใจเผยแพร่ข่าวนี้อย่างเด็ดขาดภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว แต่รัฐบาลกลับปล่อยให้ข่าวลือเรื่องโคโรนาไวรัสทำลายประเทศไทยจนย่อยยับ
ดังนั้นจึงเกิดคำถามจากสาธารณชนว่า จะมีประโยชน์อันใดกับการเป็นรัฐบาล แต่ทว่าไม่สามารถใช้อำนาจรัฐโดยชอบธรรมเพื่อจัดการให้ประเทศเกิดความสงบสุขได้ด้วยหลักของกฎหมาย และมีผู้เตือนสติรัฐบาลด้วยว่า การเป็นรัฐบาลที่ปล่อยให้ประเทศตกอยู่ภายใต้อำนาจของข่าวลือ และข่าวเท็จ คือรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนรัฐบาลที่ไร้ประโยชน์
ขอฝากบอกรัฐบาลว่า การให้ข้อมูลที่เป็นความจริงกับประชาชน จะช่วยให้ประชาชนคลายความวิตกกังวล แล้วประชาชนจะเป็นผู้ให้การสนับสนุนและประคับประคองรัฐบาลให้อยู่รอดปลอดภัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี