แม้ผู้คนจะรู้สึกเหมือนๆ กันว่า ขณะนี้ ประเทศไทยมี “ฝ่ายค้าน”ที่หนักไปทางเป็น “ฝ่ายแค้น” การทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล จึงหนักไปทาง “ส่วนตัว” มากกว่า “ส่วนรวมและหลักการ”ข้อมูลไม่สืบค้น ใช้แต่ความเห็น ทำให้การตรวจสอบไม่แหลมคม ไม่ลึกพอ ที่จะทำให้ฝ่ายบริหาร คือ รัฐบาล ต้องกังวลทุกข์ร้อนยิ่งกุมเสียงข้างมากในสภา พ่วงด้วยฝูงลิง และงูเห่าอีกจำนวนหนึ่งจึงปล่อยให้ฝ่ายแค้นระบายอารมณ์ให้คนเอือมระอาไปเรื่อยๆ
“การอภิปรายไม่ไว้วางใจ” ที่กำลังจะมาถึงก็เช่นเดียวกัน แม้ชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ตามด้วย 2.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี 3.นายวิษณุ เครืองามรองนายกรัฐมนตรี 4.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย5.นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ และ 6.ร.อ.ธรรมนัสพรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ก็ตาม ยังต้องดู“ความแหลมคม” ของประเด็นด้วยว่า จะ “ระคายผิว” พล.อ.ประยุทธ์ และพวกหรือไม่
ส่องดูเฉพาะกรณี พล.อ.ประยุทธ์ ในเอกสารของฝ่ายค้านที่ยื่นต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร พบข้อความระบุถึงเหตุผลในการ “ไม่ไว้วางใจ” พล.อ.ประยุทธ์ ว่า
“...พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมเป็นผู้ไม่ยึดมั่นและศรัทธาต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ล้มล้างรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม ละเมิดหลักนิติธรรมและสิทธิเสรีภาพของบุคคลอย่างกว้างขวาง เป็นผู้นำประเทศที่กร่างเถื่อน มองคนเห็นต่างเป็นศัตรู ปิดปากผู้ที่มีความเห็นต่าง ชอบก่นด่าเมื่อถูกซักถาม เมื่อได้อำนาจมาโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็สร้างกลไกในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อมุ่งสืบทอดอำนาจของตนเอง ปล่อยให้มีการทุจริตเต็มบ้านเต็มเมือง ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง บริวาร และพวกพ้อง เข้าข้างคนชั่วที่เป็นพวกโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม
...บริหารราชการแผ่นดินโดยขาดความรู้ความสามารถผิดพลาด บกพร่องอย่างร้ายแรง ขาดคุณธรรม จริยธรรม แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการประจำ และองค์กรในกระบวนการยุติธรรม เรียกได้ว่าเป็นยุคยุติธรรมหมดตรง บังคับใช้กฎหมายโดยเลือกปฏิบัติ ไม่เป็นไปตามหลักความเสมอภาค ไม่เคารพและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ไม่ปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ เปิดเผย ไม่มีความรอบคอบและระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม
...มีการกระทำอันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติทุจริตต่อหน้าที่ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
...ไม่รักษาวินัยการเงินการคลัง ใช้งบประมาณของรัฐสร้างคะแนนนิยมให้กับตนเองและพรรคการเมือง โดยมิได้คำนึงถึงภาระด้านงบประมาณของประเทศเป็นยุคที่เงินกำลังจะหมดคลัง ไม่ยึดตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ลุแก่อำนาจ ขาดภาวะผู้นำไม่เสริมสร้างให้ทุกภาคส่วนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรม ผาสุก และสามัคคีปรองดองกัน แต่กลับสร้างความขัดแย้งให้ขยายวงกว้าง ล้มเหลวและไร้ประสิทธิภาพในการดูแลด้านเศรษฐกิจส่งผลให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจกับประชาชนทุกภาคส่วน จนก่อให้เกิดสภาพ“รวยกระจุก จนกระจาย” ประชาชนสิ้นหวัง ให้ความสำคัญกับการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์มากกว่าปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน
...ล้มเหลวในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลอกลวงประชาชนไม่ทำตามนโยบายที่พรรคการเมืองที่สนับสนุนตนหาเสียงไว้ทั้งเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ราคาพืชผลทางการเกษตร และลดภาษีเงินได้ไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ การบริหารราชการแผ่นดินของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่งผลกระทบและความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างกว้างขวาง เป็นยุคที่ทุจริตเฟื่องฟู น้ำกำลังจะหมดเขื่อน มวลอากาศเป็นพิษเต็มเมือง เศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง หากปล่อยให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงจนประเทศถึงแก่ความล่มจมได้...”
สรุปได้ง่ายๆ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ นี่ ช่าง “เลวครอบจักรวาล” หาดีไม่ได้สียจริงๆ
ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้าน เหมือนฝุ่น PM2.5 ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ กลัวนะ แต่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้
หากในวันอภิปรายจริง ฝ่ายค้านฟุ้งเหมือนที่ร่างข้อกล่าวหามาข้างต้นนี้ เห็นทีจะเป็นแค่ “ด่าระบายอารมณ์” หรือแค่ให้ได้ใช้สิทธิ์อภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงปีแรกของการทำงานเท่านั้นเอง
จากร่างข้อกล่าวหาข้างต้น จะเห็นความไม่โฟกัส ไม่จัดหมวดหมู่ไม่รู้ว่าอะไรคือเรื่องหลัก อะไรคือเรื่องรอง และอะไร “ไม่ใช่เรื่อง” ที่จะต้องมาอภิปราย ให้รู้สึกว่าซ้ำซาก น่าเบื่อหน่าย น่าเอือมระอา
การอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงเหมือน “ดาบสองคม” ที่หากแล่เนื้อเถือหนัง พล.อ.ประยุทธ์ กับพวกไม่ได้ ก็จะย้อนมา“เชือดคอตาย” ของตัวฝ่ายค้านเอง
แต่ก็นั่นแหละครับ อย่างที่บอกว่า ฝ่ายค้านเองสะสม“ความไม่มีราคา” เอาไว้มาก และใช้มันจนร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ หากข้อมูลไม่เด็ดพอที่จะทำให้คนรู้สึก “ไม่ไว้วางใจ” ฝ่ายรัฐบาลจริงๆ ความรู้สึกทำนองว่า “ฝ่ายค้านเอ๋ย ถ้าไม่ไหวก็วางมือเถอะ” จะเกิดขึ้น คนจะรู้สึกแค่ว่า พวกฝ่ายค้านนี่มัน “แมลงหวี่แมลงวัน” ตอมหูตอมตาให้น่ารำคาญ และอาจถึงขั้น “ไปตอมขี้เถอะมึง”ก็เป็นได้
ถ้าฝ่ายค้านไม่ทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ต่างไปจากการอภิปรายทั่วไป” ได้ ไม่แหลมคมกว่า ไม่ชัดเจนว่าเป็นพฤติกรรมที่ยากแก่การไว้ใจ ก็จะเป็นฝ่ายค้านเองนั่นแหละ ที่ไม่น่าไว้วางใจ!!!
1) ฝ่ายค้านรู้ไหม ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ล้มรัฐบาล” ไม่ได้เพราะเสียงในสภาไม่มากพอที่จะ “ล้ม” ยิ่งพรรคเศรษฐกิจใหม่ ประกาศถอนตัวจากการเป็น 7 พรรคร่วมรัฐบาลแล้ว สัญญาณยิ่งชัดเจน เว้นเสียแต่ว่า จะมีข้อมูลเรื่อง “การทุจริต” ที่เลวร้าย เสียหายเหมือน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อภิปรายเรื่อง “จำนำข้าว” ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนไปต่อและไปที่ ป.ป.ช. อัยการ และศาล จบท้ายสุดที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ กับพวกติดคุกยิ่งลักษณ์หนี “หนุ่ย” นายตำรวจติดตามที่ตามไป “บริการ” เธอหลายครั้งที่ต่างประเทศ ยังไม่ถูกลงโทษทางวินัยจนบัดนี้
2) ฝ่ายค้านพึงทำงานบนข้อมูลที่ดี มากกว่า “วาทกรรม” ที่จะปรุงแต่ง ประดิดประดอยขึ้น เพราะนั่นคือสิ่งที่ฝ่ายค้านทำมาตลอด และได้ความรู้สึก “น่ารำคาญ” ไปแทน มิใช่ได้ความไว้วางใจจากประชาชน ในฐานะฝ่ายตรวจสอบและถ่วงดุลที่แหลมคม มุ่งมั่นทำงานแทนประชาชนเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ใช่ประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายตนเป็นใหญ่ ปกป้องอดีตเจ้านายไปวันๆ ไม่มีภาพการกัดแทะแหว่งวิ่น ทำลายประเทศชาติของฝ่ายรัฐบาลให้เห็น วนเวียนอยู่กับประเด็นเดิมๆ เรื่องยึดอำนาจ สืบทอดอำนาจ ถวายสัตย์ไม่ครบ ใช้งบเพื่อแจกจ่าย เอื้อให้นายทุน ไร้สติปัญญาที่จะบริหารประเทศ ประชาชนลำบาก ข้าวยากหมากแพง ฯลฯ ที่พล่ามพูดมาโดยตลอด
3) ทำไมผมจึงให้เน้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ “การทุจริต” เพราะนั่นเป็นสิ่งแรกๆ ที่คนไทย “รับไม่ได้” เสมอมา และเป็น “เงื่อนไขในการออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล” ของพรรคประชาธิปัตย์ด้วย หาก “ล้ม”ไม่ได้ จง “รื้อรัฐบาล” ด้วยข้อมูลที่ดี หนักแน่นด้วย “หลักการและหลักฐาน” ไม่ใช่พ่นน้ำลายเป็นละอองฟองฝอยให้เปลือง “หน้ากากอนามัย” ไปวันๆ จนหิ้วถังน้ำยาฆ่าเชื้อมาเช็ดไมโครโฟน ซึ่งเป็นแหล่งแพร่กระจายของโรคที่ดีแหล่งหนึ่งแทบไม่ทัน
4) เลือกตัวบุคคลที่น่าเชื่อถือขึ้นอภิปราย ไม่ใช่พวกบ้าน้ำลาย บ้าโวหาร หรือตัวตลกห้าบาทสิบบาททางการเมือง ซึ่งมีอยู่มากในพรรคเพื่อไทย ที่เป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้าน งานนี้วัดกึ๋นนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ กับร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ละว่านำทัพได้ดีกว่า “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ” ที่ขณะนี้ได้รับฉายา “คุณหญิงไวรัสมโนว่า” ต่อจากฉายา “คุณหญิงดาวเรือง” หรือ“คุณหญิงเที่ยงคืน” ในอดีตไปแล้ว ด้วยการพูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องเรื่อง ทำไมไม่ไปรับคนไทยที่อู่ฮั่น จนลืมความจริงที่ใช้เศษๆ หางๆ ของสติปัญญามาประกอบการคิดก็เข้าได้ใจง่ายๆ ว่า อู่ฮั่นไม่ใช่จังหวัดหนึ่งจังหวัดใดของประเทศไทย ที่นึกจะเอาเครื่องบินอะไรบินไปจอดรับคนแล้วขนกลับประเทศได้ง่ายๆ หากเจ้าของประเทศเขายังไม่อนุญาตให้เอาคนออกจาก “เขตกักกันโรค”ของเขา
5) และเป็นอีกครั้งที่ “พรรคอนาคตใหม่” จะ “ฉายแสง” เปล่งประกาย ให้คนเห็นว่า นักการเมืองรุ่นใหม่ๆ มีศักยภาพมากกว่านักการเมืองเผ่าพันธุ์บ้าน้ำลายที่เป็นเศษเดนการเมืองค้างท่อ ที่รอแค่โอกาส “เข้าตานาย-ได้การชุบเลี้ยง” สส.และพรรคอนาคตใหม่ต้องทำให้คน “เสียดาย” หากพรรคจะถูกยุบ สมาชิกพรรคและนักการเมืองคุณภาพจะ “ถูกรังแก” ด้วยการอภิปรายเชิงคุณภาพ ซึ่งต้องพูดกันตามตรงว่า พรรคอนาคตใหม่ทำอย่างนั้นมาโดยตลอด เป็นผู้สร้างมิติที่ดีของการอภิปรายในสภาเสมอมา ยิ่งในเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์มีอาการ “บุญทรง” เข้าแทรก คือ “กูพูดไม่ได้” ยิ่งง่ายที่พรรคอนาคตใหม่จะได้ช่วงชิงภาพการเป็นฝ่ายค้านและนักอภิปรายคุณภาพในสภา
6) พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเข้าร่วมรัฐบาลอย่างมีเงื่อนไขว่า “อย่าทุจริตนะ” ก็ต้อง “ตั้งใจฟัง” การอภิปรายของฝ่ายค้านให้ดีๆ และจับเอาประเด็นที่ดี (หากมี) มาสืบต่อ ว่าส่อไปในทางทุจริตหรือไม่แล้วส่งสัญญาณเตือนรัฐบาล หรือดีที่สุดคือ จับทุจริตรัฐบาลได้ โดยไม่ต้อง “จำนน” กับคำว่า เป็นพรรคร่วมรัฐบาล รักษามารยาท จนลืมรักษาประเทศชาติและหลักการที่ควรจะเป็น เน้นรักษาโอกาสที่จะได้แอบอิงอำนาจ โอกาส และงบประมาณ เพื่อพิสูจน์การทำงานของพรรคเท่านั้น เพราะความเอาจริงเอาจังต่อหลักการที่ถูกต้องและความซื่อสัตย์สุจริต มันคือ “ดีเอ็นเอ” ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่พึงย่อหย่อนให้กับการ “กดหัว” ไว้ ว่าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลนะ พรรคร่วมรัฐบาลเป็นแค่ “หุ้นส่วน” ของฝ่ายบริหาร หาใช้ “ขี้ข้าบริวาร” ไม่และทรยศต่อความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนไม่ได้
7) ฝ่ายรัฐบาลก็อย่ามัวแต่บริหาร “จำนวนเสียง” แต่ต้องเงี่ยหูฟังประเด็นเพื่อให้เห็น “จุดอ่อน” ของตัวเอง ที่เจออยู่ในความไม่ได้สาระของอีกฝ่ายให้ได้ ถือโอกาสใช้เป็นกระจกส่อง เพื่อเป็น “ฐานคิด” ของการวางแผนประชาสัมพันธ์ผลงานเชิงรุก รัฐบาลต้องมี“คลังสมอง” (Think Tank) วางประเด็นและยุทธศาสตร์การสร้างความรับรู้ต่อการทำงานของรัฐบาลในเชิงบวก และครบถ้วน น่าศรัทธาให้ได้มากกว่าต้องอาศัย “ความรู้สึกรังเกียจต่ออีกฝ่าย” มาเป็น “ความดีความชอบ” ที่จะต้องปกป้องรัฐบาลนี้ไว้ เสมือนเป็นแค่ “ไม้กันหมา” เท่านั้น พร้อมๆ กับดำเนินการ แก้จุดอ่อน สร้างจุดแข็ง ด้วยการใช้ประเด็นที่ฝ่ายค้านเล่นงานมาเป็น “ฐานข้อมูล” เพื่อตั้งทีมเฉพาะแยกไปต่างหากกับคณะ “สาว สาว สาว” โฆษกรัฐบาล ที่คงทำได้ “เท่านี้แหละ” โดยเฉพาะ “หัวหน้าทีม” ที่ไม่ใช่ผู้มีประสบการณ์ในทางการเมือง และรองทั้งสองที่เป็น “ตัวแทนจากพรรคการเมืองอื่น” ที่ไม่ใช่พรรคหลัก ที่นับเป็นส่วนผสมที่ “ผิด” เป็นอย่างยิ่ง เพื่อไปทำหน้าที่กระจายข่าว เข้าถึง ยึดครองใจ ได้ความศรัทธาจากประชาชนในแพลตฟอร์มอื่น หรือเครื่องมืออื่น พื้นที่อื่น ที่ไม่ใช่พื้นที่ของการ “เลือกชุดผ้าไทยสวยๆ มานั่งกดไมโครโฟนแถลงข่าวผลการประชุมของรัฐบาล” เท่านั้น ทั้งยังถูกรบกวนด้วยการที่นายกฯ “พูดเอง”จนสุ้มเสียงของโฆษกหมดความสำคัญ ฟังไปก็เท่านั้น รอนายกฯ พูดเองดีกว่า (ซึ่งก็เป็นยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์ที่ขโมยซีนกันจนด้อยค่าของทีมลงไปเองด้วย) นายกฯ เลิกเชื่อว่า “ฉันพูดเองก็พอ” กับ “ทีมโฆษกทำไมไม่แก้ข่าวให้ฉัน” ได้แล้ว ใช้ยุทธศาสตร์ “ทีมอื่น” เป็นทีมรุก ใช้โฆษกเป็นทีมสวย และยกตัวเองขึ้นมาเป็น “ผู้นำ” แทนการเป็น “ผู้เล่น” กับสื่อมวลชนได้แล้ว
8) ในเรื่องบริหารจำนวนเสียง ประธานวิปรัฐบาลก็ต้องทำควบคู่ไปกับการสู้คดีที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ว่าร่วมมือกับเมียและน้องเมีย ทุจริตการจัดสร้างสนามฟุตซอล เพื่อให้ได้ “หลักประกัน” ว่าจะไม่มีใครอาศัยจังหวะนี้ “ต่อรองผลประโยชน์” กับรัฐบาล ซึ่งหมายถึง คสช. เก่า ที่ต้องพึ่งพา “นักการเมือง” เป็นเครื่องมือ และนักการเมืองก็รู้ว่า อำนาจ คสช. ไม่ได้มีเท่าเดิม จึงจะเห็นว่า ฝ่ายการเมือง “วัดพลัง”กับฝ่าย คสช. อยู่เนืองๆ จนต้องส่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณมานั่งเป็น “ผู้ปกครอง” อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ “ดีลเอง”ไม่ต้องอาศัยโบรกเกอร์หรือ “นายหน้า” คนอื่นๆ แล้ว
9) ฝ่ายรัฐบาล (ในที่นี้หมายถึง คสช. และแนวร่วม) อาจใช้โอกาสหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ปรับคณะรัฐมนตรี” เสีย เพื่อเพิ่มพูน “ประสิทธิภาพการทำงาน” ที่หมายถึง “โอกาสไปต่ออย่างสง่างาม” ไม่ใช่อยู่ในสภาพ ไม่เอาพวกนี้แล้วจะเอาใคร ซึ่งเป็นสภาน่าสิ้นหวัง อิหลักอิเหลื่อ และเหลือทน
7) ขอสรุปว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ต้องตั้งอยู่บนข้อกล่าวหา พยาน หลักฐาน และหลักการที่เลวร้ายอย่างยิ่งยวด จนยากแก่การ “ไว้ใจ” ของพี่น้องประชาชน โดยมีตัวแทน คือ ฝ่ายค้าน เป็นผู้ตรวจสอบ ไม่ใช่เป็นการอภิปรายระบายความโกรธแค้นทางการเมืองซ้ำๆ ซากๆ จนพลอยทำให้คุณค่าของการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเรื่องไร้ราคา แต่ต้องทำให้มีคุณค่าต่อการได้ยินได้ฟังของทุกฝ่ายอย่างแท้จริง
ย้ำอีกครั้งว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ล้มรัฐบาล” ไม่ได้ด้วย“เสียงโหวต” แต่มีประสิทธิภาพได้ด้วยหลักการและหลักฐานที่ถูกต้อง สร้างสรรค์ ชัดเจน
ส่วนรัฐบาล เขาเซของเขาอยู่แล้ว ด้วยการที่คนจน ขาดงานขาดเงิน กังวลกับสิ่งแวดล้อม (ฝุ่น-ควัน-การเผา) ผลกระทบทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจากเหตุโคโรนาไวรัส ค่าเงินบาทแข็งงบประมาณออกไม่ได้ เพราะคนในพรรคร่วมรัฐบาลทุจริตการลงมติกดบัตรแทนกัน ซึ่ง “คนดี” อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ผู้เคยอ่อนไหวกับจริยธรรมและธรรมาภิบาลมากๆ เมื่อครั้งเป็นหัวหน้า คสช. ยังไม่ออกอาการ“ไม่เห็นด้วย” กับวิธีการชั่วๆ แบบนี้ในที่สาธารณะเลย !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี